Untitled Document
 
 ปีที่ 16 ฉบับที่ 1 ประจำเดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายน 2562 ISSN 1686-5715 อ่าน
1.  UNDERGRADUATE STUDENTS’ PERCEPTIONS IN FACULTY OF INDUSTRIAL EDUCATION AND TECHNOLOGY AT KING MONGKUT’S UNIVERSITY OF TECHNOLOGY THONBURI TOWARD TEACHING AND LEARNING IN THAILAND 4.0 ERA
Author : Kanittha Bangpoophamorn
Abstract
The purpose of this research was to study the comparison of personal factors on perceptions and to study the suggestions of students’ perceptions in Faculty of Industrial Education and Technology at King Mongkut’s University of Technology Thonburi (KMUTT) towards teaching and learning in Thailand 4.0 Era. The sampled group of this research is the undergraduate students of industrial education and technology at KMUTT in term 1/2018. The researcher collected the data by using quota sampling. In this survey, the researcher had a great response rate. This was conducted by using a questionnaire to collect data using 176 samples. Data were analyzed by frequency, percentage, median, and standard deviation-testing the value (t-test) and one-way ANOVA (Analysis of Variance). According to the results, the number of respondents were mostly female 54.19% (97 respondents). Besides, 46.93% (84 respondents) of them were at an average age ranging from 18 to 19 years old. Also, 40.22% (42 respondents) of the respondents were first-year students. The overall perception of Bachelor’s degree students was at a high level. When considering by aspect, each phase was provided at a high or moderate level. A comparative analysis of students’ perceptions towards teaching and learning in Thailand 4.0 Era at a significance level of .05, showed that according to undergraduate students at different genders, there was no difference in the perception towards teaching and learning in Thailand 4.0 Era. One-way ANOVA analysis results indicated that the perception of students from the Faculty of Industrial Education and Technology, King Mongkut's University of Technology Thonburi, on Thailand 4.0 instructional planning towards skills in self-adjustment and knowledge about Thailand 4.0 classified by age was not different. However, the perception of instructional activities was different with .05 statistical significances. One-way ANOVA analysis results also indicated that the perception of students from the Faculty of Industrial Education and Technology, King Mongkut's University of Technology Thonburi, on Thailand 4.0 instructional planning towards self-adjustment classified by year level was not different while the perception on skills in instructional activities and knowledge about Thailand 4.0 was different with .05 statistical significances. Keywords: perception, teaching management, Thailand 4.0, KMUTT.
3
2.  ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี
Author : ปาริชาติ คุณปลื้ม
Abstract
OTOP นวัตวิถี เป็นชื่อโครงการชุมชนท่องเที่ยวที่ถูกขับเคลื่อนพัฒนาประเทศตามโครงการ ไทยนิยมยั่งยืน เพื่อมุ่งสร้างรายได้ ความเจริญ และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ โดยภาคเอกชนและ ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินการ OTOP โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 โดยผู้รับผิดชอบหลักคือกรมพัฒนาชุมชน โครงการ OTOP นวัตวิถี จัดตั้งโดยมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดรายได้กับชุมชน เพื่อพัฒนาคุณภาพ ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ OTOP กลุ่มพัฒนาและกลุ่มปรับตัวเข้าสู่การ พัฒนา กลุ่ม D ให้พร้อมขายและสร้างรายได้ได้มากขึ้น เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางในการท่องเที่ยว กระแสหลัก เมืองรอง และชุมชน เพื่อพัฒนาบุคลากร ผู้ประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวข้องในชุมชน ท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ให้มีขีดความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์และนำมาต่อยอดบริหารจัดการ ชุมชนได้อย่างเหมาะสม โดยโครงการนี้จะเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนจากระบบโครงสร้างฐานราก ของชุมชน สร้างการมีส่วนร่วม พัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้น โดยเน้นการท่องเที่ยวที่ยังคงอนุรักษ์ ความเป็นไทย คำสำคัญ: ชุมชนท่องเที่ยว, โอทอปนวัตวิถี
14
3.  ผลของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนต่อมูลค่ากิจการผ่านผลการดำเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Author : รองเอก วรรณพฤกษ์
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเส้นทางความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของสินทรัพย์ไม่มีตัวตน ผ่านผลการดำเนินงานที่ส่งผลต่อมูลค่ากิจการ ประชากรเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย (SET100) จำนวน 100 บริษัท เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ผู้วิจัยใช้การเก็บรวบรวม ข้อมูลจากงบการเงินระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2556-2560 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ เชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ โดยแสดงในรูปตารางแจกแจงความถี่และค่าเฉลี่ย และใช้สถิติ เชิงอนุมานวิเคราะห์เส้นทางความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ (path analysis) พบว่าสินทรัพย์ไม่มีตัวตน ที่ระบุได้ส่งผลต่อมูลค่ากิจการผ่านอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 คำสำคัญ: สินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่ระบุได้, อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม, มูลค่ากิจการ
8
4.  ผลการดำเนินงานมีอิทธิพลต่อมูลค่ากิจการผ่านการจัดการกำไรของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Author : พรรณทิพย์ อย่างกลั่น
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเส้นทางความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ (path analysis) ของผลการ ดำเนินงานผ่านการจัดการกำไรที่มีผลกระทบต่อมูลค่ากิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย โดยเก็บข้อมูลในช่วงปี พ.ศ. 2555-2559 จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย (SET100) ซึ่งตัวแปรผลการดำเนินงาน ใช้อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ส่วนมูลค่ากิจการใช้การคำนวณค่า Tobin’s Q เป็นการประเมินผลการปฏิบัติงานขององค์กร และการจัดการกำไรใช้โมเดลของ Modified Jones การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและ การวิเคราะห์เส้นทางความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของผลการดำเนินงานผ่านการจัดการกำไรที่มีผลกระทบ ต่อมูลค่ากิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าผลการดำเนินงาน ด้านอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นมีอิทธิพลเชิงบวกต่อมูลค่ากิจการและการจัดการกำไร ในขณะเดียวกัน การจัดการกำไรส่งผลเชิงบวกต่อมูลค่ากิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญ และการวิเคราะห์เส้นทางความสัมพันธ์เชิงสาเหตุพบว่า ผลการ ดำเนินงานด้านอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น มีอิทธิพลเชิงบวกต่อมูลค่ากิจการผ่านการจัดการ กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 คำสำคัญ: ผลการดำเนินงาน, การจัดการกำไร, มูลค่ากิจการ
15
5.  ปัจจัยแห่งความสำเร็จของสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามสำหรับการตลาดดิจิทัล กรณีศึกษาเว็บไซต์ตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
Author : พสชนันท์ บุญช่วย
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ตลาดกลางพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ประเภทสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม และเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการ เลือกซื้อสินค้าตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม โดยการ สุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (purposive sampling) ใช้แบบสอบถามผู้ที่เคยใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์ เท่านั้น จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์แบบถดถอย (regression analysis) พบว่า (1) การยอมรับเทคโนโลยีมีอิทธิพลทางบวกกับเพศ เว็บไซต์ที่ซื้อสินค้าออนไลน์เป็นประจำ และสินค้าที่ซื้อเป็นประจำ โดยมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) ด้านการ บริการส่วนบุคคลมีอิทธิพลทางบวกกับอาชีพ บุคคลอ้างอิง ค่าใช้จ่ายต่อครั้งในการซื้อสินค้า และ วัตถุประสงค์ของการเข้าใช้เว็บไซต์ โดยมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3) ด้านผลิตภัณฑ์มีอิทธิพลทางบวกกับความถี่ในการใช้งาน และเว็บไซต์ที่ซื้อสินค้าออนไลน์เป็นประจำ โดยมีความสัมพันธก์ ันอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (4) ดา้ นความปลอดภัยและความนา่ เชื่อถือ มีอิทธิพลทางบวกกับค่าใช้จ่ายต่อครั้งในการซื้อสินค้า โดยมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และ (5) ด้านราคา ด้านการส่งเสริมการตลาด มีอิทธิพลทางบวกกับสินค้าที่ซื้อเป็นประจำ โดยมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ: ปัจจัยความสำเร็จ, สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม, ตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
6
6.  อิทธิพลของการเรียนรู้ขององค์กรและวิสัยทัศน์ระยะยาวที่มีต่อผลการดำเนินงานของ ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย
Author : ดารารัตน์ ธาตุรักษ์
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการเรียนรู้ขององค์กรและวิสัยทัศน์ ระยะยาวที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร (2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของพฤติกรรม การเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย และ (3) เพื่อตรวจสอบอิทธิพลของตัวแปรแทรกของความผูกพันต่อองค์กรที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่าง การเรียนรู้ขององค์กร วิสัยทัศน์ระยะยาว และพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้บริหารธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย จำนวน 212 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติสำหรับการทดสอบสมมติฐานคือ การวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่ายและการวิเคราะห์การถดถอย พหุคูณ พบว่าการเรียนรู้ขององค์กรและวิสัยทัศน์ระยะยาวขององค์กรส่งผลเชิงบวกต่อพฤติกรรม การเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรส่งผลในเชิงบวกต่อผลการ ดำเนินงานขององค์กร อิทธิพลของตัวแปรแทรกความผูกพันต่อองค์กรไม่เป็นตัวแปรแทรกของความ สัมพันธ์ระหว่างการเรียนรู้ขององค์กรและวิสัยทัศน์ระยะยาวขององค์กรต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิก ที่ดีขององค์กร คำสำคัญ: การเรียนรู้ขององค์กร, วิสัยทัศน์ระยะยาว, พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร, ความผูกพันต่อองค์กร, ผลการดำเนินงานขององค์กร
16
7.  รูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมมาตรฐานสู่การพัฒนาระบบคุ้มครองและเสริมสร้างความมั่นคง สำหรับแรงงานนอกระบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคเหนือตอนบน
Author : พุทธินันทน์ บุญเรือง
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความพร้อมขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นของการจัดสวัสดิการสังคมมาตรฐาน สู่การพัฒนาระบบคุ้มครองและเสริมสร้างความ มั่นคงสำหรับแรงงานนอกระบบในเขตภาคเหนือตอนบน เพื่อพัฒนารูปแบบและตรวจสอบรูปแบบ การจัดสวัสดิการสังคมมาตรฐาน สู่การพัฒนาระบบคุ้มครองและเสริมสร้างความมั่นคงสำหรับแรงงาน นอกระบบในเขตภาคเหนือตอนบน และเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อหน่วยงานภาครัฐและ ท้องถิ่นในการจัดสวัสดิการสังคมมาตรฐาน สู่การพัฒนาระบบคุ้มครองและเสริมสร้างความมั่นคงสำหรับ แรงงานนอกระบบในเขตภาคเหนือตอนบน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) และผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด สาธารณสุขจังหวัด นายก องค์การบริหารส่วนตำบล ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการเลือกแบบหลายขั้นตอน (multi-stage random sampling) ด้วยการสุ่มแบบเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (descriptive statistics) และสถิติเชิงอนุมาน (inferential statistics) ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพและปญั หาการจัดสวัสดิการสังคมมาตรฐาน สกู่ ารพัฒนาระบบคมุ้ ครองและเสริมสรา้ ง ความมั่นคงสำหรับแรงงานนอกระบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคเหนือตอนบน พบว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังมีความพร้อมระดับค่อนข้างน้อย ทั้งด้านการบริหารจัดการด้านงบประมาณ และด้านบุคลากร เช่น นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา นอกจากนี้บุคลากรที่ได้รับ มอบหมายให้ปฏิบัติงานด้านจัดสวัสดิการสังคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังขาดความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ในการทำงานด้านสวัสดิการสังคม สำหรับด้านงบประมาณและด้านการบริหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งมีความพร้อมแตกต่างกัน 2. รูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมมาตรฐาน สู่การพัฒนาระบบคุ้มครองและเสริมสร้าง ความมั่นคงสำหรับแรงงานนอกระบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคเหนือตอนบน คือ “ME-HOPE Model” 3. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม มาตรฐานสำหรับแรงงานนอกระบบ หรือพัฒนาเครือข่ายสวัสดิการแรงงานนอกระบบที่มีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาส่งเสริมอาชีพที่หลากหลายในพื้นที่ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันโดยการมีส่วนร่วม ตลอดจนการส่งเสริมแนวทางการให้บริการจัดการและแหล่งทุน ควรให้ความสำคัญในการจัดสวัสดิการ สังคมมาตรฐาน การกำหนดมาตรการหรือแนวนโยบายทางสังคมในการจัดสวัสดิการสังคมมาตรฐาน สำหรับแรงงานนอกระบบ พัฒนาระบบคุ้มครองแรงงานนอกระบบในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ เหมาะสม กับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ให้มีความชัดเจน เข้าถึงง่าย และรวดเร็ว คำสำคัญ: การจัดสวัสดิการสังคมมาตรฐาน, ระบบคุ้มครอง, ความมั่นคง, แรงงานนอกระบบ
8
8.  การพัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์แสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินปลูกพืชสมุนไพร ของชุมชนเทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
Author : อรนุช พันโท
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์แสดงการใช้ประโยชน์ของ พื้นที่ในการปลูกพืชสมุนไพรในชุมชนเทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์แสดงการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ ในการปลูกพืชสมุนไพรในชุมชนเทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการวิจัยแบบประยุกต์เชิงปฏิบัติการโดยให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบ ให้ข้อมูล ทดสอบการใช้งาน และให้ข้อเสนอแนะ พบว่าระบบที่พัฒนาขึ้นช่วยให้ผู้ใช้ทราบตำแหน่งพิกัดของ ครวั เรอื นทปี่ ลกู พชื สมนุ ไพรแตล่ ะชนดิ ไดร้ วดเรว็ และผลการประเมนิ ความพงึ พอใจของผใู้ ชง้ านพบวา่ กลุ่มตัวอย่างมีระดับความพึงพอใจในประสิทธิภาพการทำงานของระบบ ผู้ใช้มีความคิดเห็นเกี่ยวกับ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.53 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.45 รองลงมาเป็นด้านของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่ผู้ใช้เห็นว่ามีประโยชน์ และนำไปใช้ได้ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์การประเมินที่ได้กำหนดไว้ พบว่าอยู่ในระดับดี คำสำคัญ: ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์, พืชสมุนไพร, เทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา
32
9.  ชื่อเสียงกิจการ ลักษณะส่วนบุคคลที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม และปัจจัยทางประชากรศาสตร์ ที่มีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Author : อำพล ชะโยมชัย
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยชื่อเสียงกิจการ ลักษณะส่วนบุคคล ที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม และปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูลแบบเจาะจงกับตัวอย่างที่เป็นผู้บริโภค ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในจังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 389 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติพื้นฐาน และวิเคราะห์ Partial Least Squares เพื่อทดสอบอิทธิพลของตัวแปรต้นที่มีต่อ ตัวแปรตามของงานวิจัย พบว่า (1) ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ มีอายุตํ่ากว่า 30 ปี และกลุ่มใหญ่ที่สุด มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนตํ่ากว่า 40,000 บาท (2) ตัวแบบที่เหมาะสมที่สุดของงานวิจัย ประกอบด้วย 3 ตัวแปรต้น ได้แก่ ชื่อเสียงกิจการ อายุ และรายได้ ตัวแปรตามคือ ความพึงพอใจของผู้บริโภค ในผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (3) ตัวแปรต้นทั้งสามตัวแปรในตัวแบบสุดท้าย มีอิทธิพลอย่างมี นัยสำคัญต่อพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถอธิบายความแปรปรวน ของพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ร้อยละ 12.10 และ (4) ข้อค้นพบของ งานวิจัยที่สำคัญคือ ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ชื่อเสียงกิจการในด้านความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค การเปิดเผยข้อมูลกับผู้บริโภค การให้ข้อมูลที่เชื่อถือ ได้ การไม่นำเสนอข้อมูลที่หลอกลวง ปัจจัยด้านอายุ และปัจจัยด้านรายได้ของผู้บริโภค คำสำคัญ: ชื่อเสียงกิจการ, ลักษณะส่วนบุคคลที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม, พฤติกรรมผู้บริโภค, ผลิตภัณฑ์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
15
10.  ผลของความแตกต่างระหว่างเพศและบุคลิกภาพที่มีต่อรูปภาพและเสียงดิจิทัลที่เร้าอารมณ์ ด้านการตื่นตัวในผู้ใหญ่ตอนต้น: การศึกษาเชิงพฤติกรรม
Author : สุทิศา ตันติกุลวิจิตร
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอารมณ์ด้านการตื่นตัวในผู้ใหญ่ตอนต้น จำแนกตามเพศ และบุคลิกภาพ ขณะมองรูปภาพและฟังเสียงดิจิทัลที่เร้าอารมณ์ด้านการตื่นตัว เป็นการวิจัยเชิง ทดลอง (experimental research) โดยใช้แบบแผนการทดลองแบบ 2 X 2 Factorial Posttest Design (between subjects) กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา ปีการศึกษา 2560 อายุระหว่าง 20–24 ปี ที่อาสาสมัครและยินดีเข้าร่วมการวิจัย บุคลิกภาพแบบเปิดเผย เพศชาย 20 คนเพศหญิง 20 คน บุคลิกภาพแบบกลาง ๆ เพศชาย 20 คน และเพศหญิง 20 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยประกอบด้วย 1) กิจกรรมการทดลองมองรูปภาพและฟังเสียงดิจิทัลที่เร้าอารมณ์ด้านการ ตื่นตัวในผู้ใหญ่ตอนต้น ประกอบด้วยรูปภาพและเสียงดิจิทัล ลักษณะสงบ และลักษณะตื่นเต้น ลักษณะละ 12 ชุด 2) มาตรวัดอารมณ์ความรู้สึก Self-Assessment Manikin (SAM) วิเคราะห์ ข้อมูลด้วยสถิติ 2-way ANOVA พบว่าความแตกต่างระหว่างเพศไม่มีผลต่อการมองรูปภาพ และฟังเสียงดิจิทัลที่เร้าอารมณ์ด้านการตื่นตัวในลักษณะสงบและลักษณะตื่นเต้น ความแตกต่าง ระหว่างบุคลิกภาพไม่มีผลต่อการมองรูปภาพและฟังเสียงดิจิทัลที่เร้าอารมณ์ด้านการตื่นตัวในลักษณะ ตื่นเต้น แต่มีผลต่อการมองรูปภาพและฟังเสียงดิจิทัลที่เร้าอารมณ์ด้านการตื่นตัวในลักษณะสงบ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 คำสำคัญ: อารมณ์ด้านการตื่นตัว, บุคลิกภาพ, เพศ, มาตรวัดอารมณ์ความรู้สึก, การมองรูปภาพและ ฟังเสียงดิจิทัลที่เร้าอารมณ์ด้านการตื่นตัว
13
11.  ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาจริยธรรมและจรรยาบรรณด้านการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม สำหรับผู้ประกอบอาชีพสื่อมวลชน
Author : ผุสดี กลิ่นเกสร
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาจริยธรรมและจรรยาบรรณด้านการ ใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมสำหรับผู้ประกอบอาชีพสื่อมวลชน และศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมดังกล่าว โดยออกแบบชุดกิจกรรมแล้วนำไปทดลองแบบ The One-Group Posttest-Only Design กับ นักศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ชั้นปีที่ 1 และปีที่ 2 ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 43 คน ผลการวิจัยพบว่า ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาจริยธรรมและจรรยาบรรณด้านการใช้เหตุผล เชิงจริยธรรมสำหรับผู้ประกอบอาชีพสื่อมวลชน มีขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 3 ขั้นตอน ดังนี้ (1) ขั้นนำก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (2) ขั้นการดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย กิจกรรมการเรียนรู้ 4 กิจกรรม คือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 การพัฒนาความรู้จริยธรรมและจรรยาบรรณ ผู้ประกอบอาชีพสื่อมวลชน กิจกรรมการเรียนรู้ที่ 2 การใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมเพื่อคนรอบข้าง กิจกรรม การเรียนรู้ที่ 3 การใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมเพื่อสังคม และกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 4 การสรุปสะท้อนคิด (3) ขั้นการประเมินหลังการดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ และการศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรม โดยชุด กิจกรรมนี้สามารถพัฒนาจริยธรรมและจรรยาบรรณด้านการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมในผู้ประกอบอาชีพ สื่อมวลชนได้ 5 ด้าน ได้แก่ ความเสียสละ ความซื่อสัตย์สุจริต ความรับผิดชอบ ความยุติธรรม และการคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม โดยภาพรวมมีระดับการพัฒนาการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมสำหรับ ผู้ประกอบอาชีพสื่อมวลชนอยู่ในระดับ 2 คำสำคัญ: ชุดกิจกรรม, การใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม, จริยธรรมและจรรยาบรรณ, ผู้ประกอบอาชีพ สื่อมวลชน
31
12.  ผลของความแตกต่างทางเพศและบุคลิกภาพในผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีต่อเสียงดิจิทัลที่เร้าอารมณ์ ด้านการมีอิทธิพล: การศึกษาคลื่นไฟฟ้าสมองสัมพันธ์กับเหตุการณ์
Author : พันธุ์ธัช ศรีทิพันธุ์
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอารมณ์ด้านการมีอิทธิพลในเชิงคลื่นไฟฟ้าสมอง ขณะฟัง เสียงดิจิทัลที่เร้าอารมณ์ด้านการมีอิทธิพล จำแนกตามเพศ บุคลิกภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตระดับ ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยบูรพา ปีการศึกษา 2560 จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบ ด้วย กิจกรรมการทดลองฟังเสียงดิจิทัลที่เร้าอารมณ์ด้านการมีอิทธิพลในผู้ใหญ่ตอนต้น เครื่องบันทึก คลื่นไฟฟ้าสมอง NeuroScan System วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Two-way ANOVA ผลการวิจัยพบว่า คลื่นไฟฟ้าสมองของผู้ใหญ่ตอนต้นขณะฟังเสียงดิจิทัลที่เร้าอารมณ์ด้านการมีอิทธิพล ลักษณะกลัวและไม่กลัว ระหว่างผู้ที่มีบุคลิกภาพเปิดเผยกับกลาง ๆ แตกต่างกันที่บริเวณเปลือกสมอง ส่วนหน้า (frontal lobe) ที่ตำแหน่ง F7 บริเวณเปลือกสมองส่วนบน (parietal lobe) ที่ตำแหน่ง PZ P7 P4 และบริเวณเปลือกสมองกลาง (central) ที่ตำแหน่ง CZ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ระหว่างเพศชายกับเพศหญิงแตกต่างกันที่บริเวณเปลือกสมองส่วนหน้า (frontal lobe) ที่ตำแหน่ง F7 และบริเวณเปลือกสมองกลาง (central) ที่ตำแหน่ง CZ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่า ผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีเพศและบุคลิกภาพต่างกัน ขณะฟังเสียงดิจิทัลที่เร้าอารมณ์ ด้านการมีอิทธิพลเสียงลักษณะกลัวและไม่กลัว ด้านคลื่นไฟฟ้าสมองมีความแตกต่างกัน คำสำคัญ: อารมณ์ด้านการมีอิทธิพล, เสียงดิจิทัล, คลื่นไฟฟ้าสมองสัมพันธ์กับเหตุการณ์
24
13.  คุณภาพการให้บริการของร้านสปาที่มีผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี
Author : สารี ประชุมดี
Abstract
การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของลูกค้าร้านสปาในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของลูกค้าร้านสปาในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จำแนกโดยปัจจัยส่วนบุคคล และเพื่อศึกษาระดับอิทธิพลของคุณภาพการบริการของร้านสปาที่มีต่อ ระดับความพึงพอใจของลูกค้าในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยคือ ลูกค้า ที่ใช้บริการร้านสปาในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามแบบมาตรา 4 ส่วน สถิติที่ใช้คือ ความถี่ ค่าเฉลี่ย การทดสอบความแปรปรวน และการวิเคราะห์สมการเส้นถดถอยพหุคุณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจต่อบริการร้านสปาในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี อยู่ในระดับมาก 2) ผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับความพึงพอใจต่อบริการร้านสปา ในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี แตกต่างกันตามปัจจัยส่วนบุคคลด้านระดับการศึกษา และ 3) ปัจจัย ด้านคุณภาพการบริการของร้านสปาที่มีผลต่อระดับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการสปาตามลำดับคือ ด้านการติดต่อสื่อสาร ด้านความสุภาพ อ่อนโยน ด้านความปลอดภัย ด้านความเอาใจใส่ และด้าน สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ คำสำคัญ: คุณภาพบริการ, ร้านสปา, ความพึงพอใจของลูกค้า
36
14.  ปัจจัยการบริหารธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีผลต่อผลประกอบการของธุรกิจติดตั้งระบบรถยนต์
Author : สิรภัทร คำดี
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับผลประกอบการของธุรกิจแฟรนไชส์ติดตั้งระบบรถยนต์ เพื่อเปรียบเทียบผลประกอบการของธุรกิจติดตั้งระบบรถยนต์ จำแนกตามปัจจัยด้านองค์กรธุรกิจ แฟรนไชส์ และเพื่อศึกษาระดับอิทธิพลของปัจจัยการบริหารธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีต่อผลประกอบการ ของธุรกิจติดตั้งระบบรถยนต์ กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยคือ กลุ่มผู้ประกอบการและหัวหน้างานธุรกิจ แฟรนไชส์ติดตั้งระบบรถยนต์ จำนวน 300 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวน และการวิเคราะห์ การถดถอยพหุคุณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับผลประกอบการของธุรกิจแฟรนไชส์ติดตั้งระบบรถยนต์โดยรวม อยู่ในระดับมาก ( X = 3.72, SD = 0.28) 2) ผลประกอบการของธุรกิจแฟรนไชส์ติดตั้งระบบรถยนต์ มีความแตกต่างกัน จำแนกตามปัจจัยด้านองค์กรธุรกิจแฟรนไชส์ในด้านสถานที่ตั้งและเงินลงทุน เริ่มแรก และ 3) ระดับอิทธิพลของปัจจัยการบริหารธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีต่อผลประกอบการของ ธุรกิจติดตั้งระบบรถยนต์ ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์ในที่ทำงาน (β = 0.79, p = .00) ด้านวัฒนธรรม เชิงนวัตกรรม (β = 0.26, p = .00) ด้านศักยภาพของแฟรนไชส์เซอร์ (β = 0.13, p = .00) ด้านความสามารถทางการแข่งขันของแฟรนไชส์ซี (β = 0.09, p = .00) ด้านการสนับสนุนจากเจ้าของแฟรนไชส์ (β = 0.07, p = .02) ด้านอิสระในการทำงาน (β = 0.07, p = .02) และด้านระบบ มาตรฐานคุณภาพ (β= 0.06, p = .01) ตามลำดับ คำสำคัญ: การบริหารงานธุรกิจแฟรนไชส์, ผลประกอบการธุรกิจ, ธุรกิจติดตั้งระบบรถยนต์
30
15.  การจัดการความขัดแย้งระหว่างผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้จัดการโครงการหมู่บ้านจัดสรรในจังหวัดชลบุรี
Author : นพพล เกียรติธัญกร
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการจัดการความขัดแย้งระหว่างผู้รับเหมากับผู้จัดการ โครงการหมู่บ้านจัดสรรในจังหวัดชลบุรี เพื่อเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานระหว่างผู้รับเหมากับ ผจูั้ดการโครงการหมบู่ า้ นจัดสรรในจังหวัดชลบุรี จำแนกตามลักษณะองคก์ ร และเพื่อศึกษาอิทธิพลของ การจัดการความขัดแย้งที่มีผลต่อการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างผู้รับเหมากับผู้จัดการโครงการหมู่บ้าน จัดสรรในจังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยคือ กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างและกลุ่มผู้จัดการโครงการ หมู่บ้านจัดสรรในจังหวัดชลบุรี จำนวน 302 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วน 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย การทดสอบความแปรปรวน และการวิเคราะห์สมการเส้นถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการความขัดแย้งระหว่างผู้รับเหมากับผู้จัดการโครงการหมู่บ้าน จัดสรรในจังหวัดชลบุรี ในด้านการบูรณาการ ด้านการร่วมมือ ด้านการประนีประนอม และด้านการ หลีกเลี่ยง อยู่ในระดับมาก 2) ผลการปฏิบัติงานต่อโครงการหมู่บ้านจัดสรรในจังหวัดชลบุรี แตกต่างกัน ตามลักษณะองค์กรด้านจำนวนพนักงานในสำนักงาน และ 3) ปัจจัยการจัดการความขัดแย้งระหว่าง ผู้รับเหมากับผู้จัดการโครงการหมู่บ้านจัดสรรในจังหวัดชลบุรี ที่มีอิทธิพลต่อผลการปฏิบัติงาน ได้แก่ ด้านการบูรณาการ ด้านการใช้อำนาจ และด้านการร่วมมือ ตามลำดับ คำสำคัญ: ความขัดแย้ง, การจัดการความขัดแย้ง, โครงการหมู่บ้านจัดสรร
17
16.  ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่มีผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของพนักงาน ระดับปฏิบัติการในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ในจังหวัดชลบุรี
Author : ณัฐพงศ์ ศาลาพฤกษ์
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับสภาพแวดล้อมในที่ทำงานของพนักงานฝ่ายผลิต ในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ในจังหวัดชลบุรี เปรียบเทียบประสิทธิภาพและประสิทธิผลของ พนักงานฝ่ายผลิตในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ในจังหวัดชลบุรี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ ศึกษาระดับอิทธิพลของสภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของพนักงาน ฝ่ายผลิตในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ในจังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยคือ กลุ่มพนักงาน ฝ่ายผลิตในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ในจังหวัดชลบุรี จำนวน 300 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วน 4 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย การทดสอบความแปรปรวน และการวิเคราะห์สมการเส้นถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นต่อสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน ในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ในจังหวัดชลบุรี อยู่ในระดับมาก 2) พนักงานมีประสิทธิภาพในการ ทำงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ในจังหวัดชลบุรี แตกต่างกันตามปัจจัยส่วนบุคคลด้านสถานภาพ และรายได้ต่อเดือน และมีประสิทธิผลในการทำงานแตกต่างกันตามปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ ระดับ การศึกษา สถานภาพ และรายได้ต่อเดือน 3) ปัจจัยสภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่มีผลต่อประสิทธิภาพ การทำงาน ได้แก่ ด้านการพัฒนาศักยภาพ ด้านคุณภาพชีวิตการทำงาน ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ด้านการพัฒนาความรู้ความสามารถ และด้านโอกาสความก้าวหน้า ส่วนปัจจัยสภาพแวดล้อม ในที่ทำงานที่มีผลต่อประสิทธิผลในการทำงาน ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ด้านค่าตอบแทน ด้านคุณภาพชีวิตการทำงาน ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ด้านการพัฒนาความรู้ความสามารถ และด้านโอกาสความก้าวหน้า คำสำคัญ: สภาพแวดล้อม, ประสิทธิภาพ, ประสิทธิผล, โรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
16
17.  การพัฒนากรอบการประเมินความสามารถทางนวัตกรรมของวิสาหกิจชุมชนที่ผลิตสินค้า หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
Author : พิชญา ทองอยู่เย็น
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุชุดของหลักการ มิติ ตัวบ่งชี้ และตัวตรวจสอบของกรอบ การประเมินความสามารถทางนวัตกรรมของวิสาหกิจชุมชนที่ผลิตสินค้า หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ด้วยการทบทวนวรรณกรรม สัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน รวบรวมความคิดเห็นด้วย เทคนิคเดลฟายแบบเรียลไทม์กับผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 19 คน จัดลำดับมิติและตัวบ่งชี้ด้วยกระบวนการ ลำดับขั้นเชิงวิเคราะห์ จำนวน 7 คน ผลการวิจัยพบว่า กรอบการประเมินความสามารถทาง นวัตกรรมของวิสาหกิจชุมชนที่ผลิตสินค้า หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย 7 มิติ เรียงลำดับ ความสำคัญ ได้แก่ (1) บรรยากาศขององค์การ (2) วิสัยทัศน์ร่วม การมุ่งไปสู่นวัตกรรม (3) เครือข่าย (4) ผู้นำ (5) ความสามารถทางการเรียนรู้ (6) การเปิดโอกาส ยอมรับสิ่งใหม่ และ (7) การให้ความ สำคัญกับตลาดและคู่แข่ง ตามลำดับ รวม 18 ตัวบ่งชี้ และ 62 ตัวตรวจสอบ คำสำคัญ: ความสามารถทางนวัตกรรม, วิสาหกิจชุมชน, หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
23
18.  ปัจจัยการจัดการท่องเที่ยวที่มีอิทธิพลต่อความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จังหวัดอุตรดิตถ์
Author : วีระศักดิ์ ยั่งยืน
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยการจัดการท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อความ สามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูล จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในจังหวัดอุตรดิตถ์ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน จำนวน 151 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และคำนวณหาความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุและผลซึ่งกันและกันด้วยการวิเคราะห์ความถดถอย พหุคูณแบบเส้นตรง พบว่าปัจจัยการจัดการท่องเที่ยวทุกตัวแปรประกอบด้วย ภาวะผู้นำ การทำงาน เป็นทีม การวิจัยและพัฒนา/ความรู้ และการจัดการคุณภาพมีอิทธิพลต่อความสามารถในการแข่งขัน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ความถดถอยพหุคูณในรูปคะแนนมาตรฐาน (β ) เท่ากับ –0.144, 0.329, 0.607 และ 0.148 ตามลำดับ โดยสมการพยากรณ์จะได้จากการวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ ที่ระดับ นัยสำคัญทางสถิติ .01 และ .05 คำสำคัญ: ปัจจัยการจัดการท่องเที่ยว, ความสามารถในการแข่งขัน, จังหวัดอุตรดิตถ์
7
19.  อนาคตภาพของโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาระหว่าง พ.ศ. 2559-2573
Author : พระครูพนมปรีชากร
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอนาคตภาพของโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ระหว่าง พ.ศ. 2559-2573 โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี ประกอบด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา เทคนิคการวิจัยแบบ EDFR เทคนิคการสร้างวงล้ออนาคต การวิเคราะห์ผลกระทบไขว้ระหว่างแนวโน้ม เหตุการณ์สืบเนื่อง และการเขียนภาพอนาคต โดยสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา จำนวน 24 คน ซึ่งเลือกแบบเจาะจง จากนั้นวัดผล กระทบภาคตัดไขว้ด้วยแบบสอบถามกับบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยเลือกแบบเจาะจง จำนวน 40 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่ามัธยฐาน ฐานนิยม และพิสัยระหว่างควอไทล์ โดยใช้ค่าสถิติ ความน่าจะเป็นขั้นต้น ความน่าจะเป็นแบบมีเงื่อนไข และอัตราส่วนแต้มต่อของผลกระทบไขว้ พบว่า อนาคตภาพของโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ระหว่าง พ.ศ. 2559-2573 ประกอบด้วย ปัจจัยหลัก 5 ด้าน คือ (1) ผู้เรียนคุณภาพ (2) ครูคุณภาพ (3) โรงเรียนคุณภาพ (4) การบริหารจัดการ ที่มีคุณภาพ และ (5) การมีส่วนร่วมของชุมชนที่มีคุณภาพ แนวโน้มอนาคตภาพและผลปฏิสัมพันธ์ระหว่างแนวโน้มเหตุการณ์สืบเนื่อง ด้านผู้เรียนคุณภาพ จำนวน 26 แนวโน้ม ด้านครูคุณภาพ จำนวน 26 แนวโน้ม ด้านโรงเรียนคุณภาพ จำนวน 20 แนวโน้ม ด้านการบริหารจัดการที่มีคุณภาพ จำนวน 26 แนวโน้ม และด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนที่มีคุณภาพ จำนวน 11 แนวโน้ม คำสำคัญ: อนาคตภาพ, โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา
25