Untitled Document
 
 ปีที่ 20 ฉบับที่ 3 ประจำเดือนมกราคม-เดือนมีนาคม 2567 อ่าน
1.  การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ผ่าน Google Classroom เรื่องการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
Author : ยุวมล ประเสริฐสังข์ และนฤมล เทพนวล
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียนออนไลน์ผ่าน Google Classroom เรื่องการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพ 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนออนไลน์ผ่าน Google Classroom กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 ที่เรียนวิชาวิทยาการคำนวณ โรงเรียนเทศบาลสรรพสามิตบำรุง จำนวน 20 คน ด้วยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย บทเรียนออนไลน์ผ่าน Google Classroom แบบประเมินคุณภาพด้านสื่อและด้านเนื้อหา แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีของกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระจากกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) บทเรียนออนไลน์ผ่าน Google Classroom เรื่องการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ มีคุณภาพด้านสื่ออยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.58 ด้านเนื้อหาอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.55 และมีประสิทธิภาพตามเกณท์ เท่ากับ 82.00/81.17 2) ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนนสูงกว่าก่อนเรียน มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 24.35 คะแนน และมีคะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียนเท่ากับ 17.40 คะแนน และการทดสอบค่าทีระหว่างเรียนและหลังเรียนมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนออนไลน์ผ่าน Google Classroom อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.49 คำสำคัญ: บทเรียนออนไลน์; Google Classroom; การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์
3
2.  การรับรู้อาหารไทยของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย
Author : บงกช เดชมิตร, เสรี วงษ์มณฑา และชวลีย์ ณ ถลาง
Abstract
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้อาหารไทยของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ดำเนินการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียที่เคยเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยและเคยรับประทานอาหารไทย จำนวน 400 ชุด ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบไคสแควร์ จากการศึกษาพบว่าลักษณะทางประชากรศาสตร์ของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ระดับการศึกษา จำนวนครั้งที่มาเที่ยวประเทศไทย และเคยเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยกับใคร มีความสัมพันธ์กับการรับรู้อาหารไทย ทั้ง 6 ด้าน จึงยอมรับสมมติฐาน คำสำคัญ: การรับรู้อาหารไทย; นักท่องเที่ยวมาเลเซีย
3
3.  ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่นั่งส่วนบุคคลของประชาชน ในเขตกรุงเทพมหานคร
Author : ชูใจ สุภาภัทรพิศาล และบุญสม รัศมีโชติ
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการยอมรับนวัตกรรมที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ส่วนบุคคลระบบไฟฟ้า (EV) ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ส่วนบุคคลระบบไฟฟ้า (EV) ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ส่วนบุคคลระบบไฟฟ้า (EV) ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่นั่งส่วนบุคคลในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .82 การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิงคือ สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) ผลการวิจัยพบว่า การยอมรับนวัตกรรมโดยรวมอยู่ในระดับมากทุกรายการ โดยด้านขั้นความสนใจในนวัตกรรม ด้านขั้นประเมินค่านวัตกรรม และด้านการรับรู้นวัตกรรม ตามลำดับ ส่วนประสมทางการตลาด โดยรวมอยู่ในระดับมากทุกรายการ โดยด้านด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านราคา ตามลำดับ ผลการทดสอบสมมติฐาน ปัจจัยด้านการยอมรับนวัตกรรมมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจซื้อรถยนต์ส่วนบุคคลระบบไฟฟ้า (EV) ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร และปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ส่วนบุคคลระบบไฟฟ้า (EV) ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร คำสำคัญ: การยอมรับนวัตกรรม; ส่วนประสมทางการตลาด; การตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
0
4.  ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการตลาดกับการเลือกใช้บริการนวดสปาในพื้นที่ซอยอารีย์ เขตพญาไท กรุงเทพมหานครของประชาชนคนไทย
Author : พูนทรัพย์ เศษศรี, สุจิตรา ริมดุสิต, ฉันทัช วรรณถนอม และชลิตา อารียรมย์
Abstract
การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อการเลือกใช้บริการนวดสปาในพื้นที่ซอยอารีย์ เขตพญาไท กรุงเทพมหานครของประชาชนคนไทย และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ปัจจัยทางการตลาดกับการเลือกใช้บริการนวดสปาในพื้นที่ซอยอารีย์ เขตพญาไท กรุงเทพมหานครของประชาชนคนไทย กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนคนไทย จำนวน 400 คน ด้วยวิธีการเลือกตัวอย่างแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นแบบสอบถามมีค่าความความเชื่อมั่นอยู่ที่ .86 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ เชิงอนุมานในการทดสอบสมมติฐานการวิจัยคือ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ที่นัยสำคัญทางสถิติ .05 ผลการศึกษาพบว่า ประชาชนคนไทยที่เข้ามาใช้บริการนวดสปาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุอยู่ระหว่าง 20-30 ปี มีอาชีพเป็นพนังงานบริษัทเอกชน และมีการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ทั้งนี้จากการศึกษาปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อการเลือกใช้บริการนวดสปาในพื้นที่ซอยอารีย์ เขตพญาไท กรุงเทพมหานครของประชาชนคนไทยคือ ปัจจัยด้านกระบวนการการให้บริการของร้านสปา (X ?=4.48, SD=0.50) รองลงมาปัจจัยด้านบุคคลกรของร้านสปา (X ?=4.48, SD=0.51) และจากการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการตลาดกับการเลือกใช้บริการนวดสปาในพื้นที่ซอยอารีย์ เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ของประชาชนคนไทย พบว่าปัจจัยทางการตลาดทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านสถานที่ ด้านการส่งเสริมการขาย ด้านบุคคลากร ด้านกระบวนการการให้บริการ และด้านองค์ประกอบทางกายภาพ มีความสัมพันธ์กับการเลือกใช้บริการนวดสปาของประชาชนคนไทยอยู่ในระดับมากที่สุดที่ระดับนัยสำคัญ ทางสถิติ .05 คำสำคัญ: ปัจจัยทางการตลาด; การบริการนวดสปา; ประชาชนคนไทย
1
5.  การธำรงรักษาพนักงานบริษัท มิกิ ไซมีช อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
Author : วัชรินทร์ มีนวันเพ็ญ และชิณโสณ์ วิสิฐนิธิกิจจา
Abstract
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยการธำรงรักษาพนักงาน 2) การคงอยู่ของพนักงาน 3) เปรียบเทียบการคงอยู่พนักงานจำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล และ 4) ปัจจัยการธำรงรักษาที่มีผลต่อการคงอยู่ เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานบริษัท มิกิ ไซมีช อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย แบบจับสลาก โดยใช้แบบสอบถาม จำนวน 250 ชุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การทดสอบค่าที (t test), การทดสอบค่าเอฟ (F test) แบบ One-Way ANOVA และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 31-40 ปี สถานภาพโสด ระดับการศึกษา ม.6/ปวช. รายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 20,001 บาท อายุงาน 1-5 ปี เป็นพนักงานฝ่ายผลิต ปัจจัยการธำรงรักษาพนักงาน การคงอยู่ของพนักงานค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ข้อมูลส่วนบุคคลที่แตกต่างกันมีผลต่อการคงอยู่ของพนักงานของ บริษัท มิกิ ไซมีช อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ไม่แตกต่างกัน การเรียนรู้และพัฒนา บทบาทของหัวหน้างาน โอกาสความก้าวหน้าและการใช้ศักยภาพมีผลต่อการคงอยู่ของพนักงาน บริษัท มิกิ ไซมีช อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ: การธำรงรักษา; การคงอยู่; มิกิ ไซมีช อินเตอร์เนชั่นแนล
0
6.  ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะในงานกับประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง
Author : น้ำทิพย์ ขุนศรี, สุธรรม พงศ์สำราญ และอิงอร ตั้นพันธ์
Abstract
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สมรรถนะในงานของเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง 2) ประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง 3) เปรียบเทียบประสิทธิผลในงานของเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล 4) ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะในงานกับประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง และ 5) สมรรถนะในงานที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง กลุ่มตัวอย่างเป็นเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง จำนวน 50 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) จำแนกตามหน่วยงาน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 50 ชุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่, ค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน, การทดสอบค่าที(t test) การทดสอบค่าเอฟ (F test) แบบ One-way ANOVA, การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation) และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) จากการวิจัยพบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง สถานภาพสมรส อายุ 31-40 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี สังกัดกลุ่มงานส่วนช่วยพิจารณาคดี อายุราชการ 6 ปีขึ้นไป และระดับตำแหน่งชำนาญงาน สมรรถนะในงานของเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เพศของเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมในจังหวัดระยองที่แตกต่างกันมีผลต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานที่แตกต่างกัน สมรรถนะในงานมีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมในจังหวัดระยองในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลางทิศทางเดียวกัน และสมรรถนะในงาน ด้านความถูกต้องของงาน ส่งผลต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง คำสำคัญ: สมรรถนะ; ประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน; เจ้าหน้าที่ศาล
0
7.  สมรรถนะผู้นำของบุคลากร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์: มหาวิทยาลัยแห่งองค์กรธุรกิจ
Author : ชุติเนตร บัวเผื่อน และกีรติกร บุญส่ง
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะผู้นำของบุคลากร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์: มหาวิทยาลัยแห่งองค์กรธุรกิจ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสนทนากลุ่มกับผู้ให้ข้อมูลหลักที่มีการเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ ผู้บริหารของหน่วยงาน จำนวน 41 คน กำหนดการสนทนากลุ่มเป็น 2 ระยะ คือระยะที่ 1 เพื่อศึกษาสมรรถนะผู้นำของบุคลากร และระยะที่ 2 เพื่อยืนยันสมรรถนผู้นำของบุคลากร ผลการวิจัยพบว่าสมรรถนะผู้นำของบุคลากร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ประกอบด้วย 5 สมรรถนะ ได้แก่ 1) การมีวิสัยทัศน์ (Envision) 2) การเป็นเจ้าของงานและผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) 3) การสร้างคน (Unleash Talent) 4) การนำการเปลี่ยนแปลง (Transformation) และ 5) การสร้างความเชื่อมั่นและแรงบันดาลใจ (Inspire Trust) จากนั้นกำหนดคำจำกัดความสมรรถนะและพฤติกรรมที่แสดงออกตามระดับความเชี่ยวชาญ (Proficiency Level) ของบทบาทในงาน คำสำคัญ: สมรรถนะผู้นำ; ผู้นำ; มหาวิทยาลัยแห่งองค์กรธุรกิจ
3
8.  สมรรถนะที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานรักษาความปลอดภัย ในจังหวัดนนทบุรี
Author : ภิญญาพัชญ์ ทองคำ และปัญญวัฒน์ จุฑามาศ
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานรักษาความปลอดภัยในจังหวัดนนทบบุรีจำแนกตามลักษณประชากรศาสตร์และเพื่อศึกษาสมรรถนะการปฏิบัติงานที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานรักษาความปลอดภัยในจังหวัดนนทบุรี กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยในจังหวัดนนทบุรี จำนวน 400 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบตามความสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การทดสอบค่าเอฟ และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ ผลจากการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความคิดเห็นในระดับมากทุกด้าน ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่าลักษณะทางประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานรักษาความปลอดภัยในจังหวัดนนทบุรีและสมรรถนะการปฏิบัติงานที่แตกต่างกันส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานรักษาความปลอดภัยในจังหวัดนนทบุรีแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ .01 คำสำคัญ: สมรรถนะ; ประสิทธิภาพ; รักษาความปลอดภัย
0
9.  การตลาดเชิงกิจกรรม ภาพลักษณ์ขององค์กรที่มีต่อทัศนคติและการตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมของผู้บริโภค กรณีศึกษา Kave Condo
Author : ปิยะรัตน์ มหิทธานนท์ และสิริชัย ดีเลิศ
Abstract
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาปัจจัยการตลาดเชิงกิจกรรมที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กร 2) เพื่อศึกษาปัจจัยการตลาดเชิงกิจกรรมที่ส่งผลต่อทัศนคติของผู้บริโภค 3) เพื่อศึกษาปัจจัยภาพลักษณ์ขององค์กรที่ส่งผลต่อทัศนคติของผู้บริโภค และ 4) เพื่อศึกษาปัจจัยทัศนคติที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มผู้บริโภคประเภท Campus Condo ของ Kave Condo จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก โดยใช้แบบสอบถามในรูปแบบออนไลน์ Google Form ส่งผ่านทางข้อความบนแพลตฟอร์ม Line ของกลุ่มผู้บริโภคในแต่ละโครงการ และการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และโมเดลเชิงโครงสร้างผ่านโปรแกรม SmartPLS ผลการวิจัยพบว่า 1) การตลาดเชิงกิจกรรมส่งผลต่อทัศนคติของผู้บริโภค 2) การตลาดเชิงกิจกรรมไม่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กร 3) ภาพลักษณ์ขององค์กรส่งผลต่อทัศนคติของผู้บริโภค และ 4) ทัศนคติส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ: การตลาดเชิงกิจกรรม; ภาพลักษณ์ขององค์กร; การตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียม
2
10.  การวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่าชาวประมงปูม้าพื้นบ้านในเขตจังหวัดชลบุรี
Author : อมราพร เทียนเงิน, ณกร อินทร์พยุง และอารีกมล ต.ไชยสุวรรณ
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาห่วงโซ่คุณค่าของการทำประมงปูม้าพื้นบ้านในจังหวัดชลบุรี สภาพและปัญหาของการทำประมงปูม้าพื้นบ้านในจังหวัดชลบุรีและนำเสนอแนวทางในการเพิ่มมูลค่าและวัดประสิทธิภาพของห่วงโซ่คุณค่าทางการตลาดของการทำประมงปูม้าพื้นบ้านในจังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ให้ข้อมูลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจประมงปูม้าพื้นบ้านโดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลใช้วิธีการสุ่มแบบโควต้า และทำการเก็บข้อมูลโดยใช้หลักเกณฑ์ในเรื่องของการทำประมงปูม้าพื้นบ้านในการแจกแบบสอบถามเฉพาะผู้ที่ทำการประมงปูม้าพื้นบ้านเท่านั้น และผู้ให้ข้อมูลหลักในการสัมภาษณ์ จำนวน 3 คน คือเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชาวประมงปูม้าพื้นบ้านในจังหวัดชลบุรีที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ และทั้ง 2 กลุ่มจะต้องเป็นชาวประมงผู้ประกอบอาชีพการทำประมงปูม้าพื้นบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณ 5 อำเภอในเขตจังหวัดชลบุรี งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยแบบผสม ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์อย่างมีแบบแผนกับผู้ให้ข้อมูลหลักที่สามารถให้ข้อมูลที่มีความสำคัญ ในอาชีพการทำประมงปูม้าพื้นบ้าน ผลการวิจัยพบว่าปัญหาสภาพแวดล้อมมีผลต่อจำนวนทรัพยากรปูม้าที่ลดน้อยลง ปัญหาการขายปูม้าที่ยังต้องพึ่งพิงพ่อค้าคนกลาง ปัญหาต้นทุนในการจับปูม้าสูงขึ้น ปัญหาในการเพิ่มมูลค่าของปูม้า ปัญหาการสื่อสารและปัญหาการชำระเงินที่เป็นช่องทางออนไลน์ และปัญหาไม่มีความรู้ในการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ตั้งสหกรณ์ประมงปูม้า การอบรมให้ความรู้อาชีพเสริมให้กับชาวประมงปูม้า ควรถ่ายทอดอาชีพชาวประมงปูม้าจากรุ่นสู่รุ่น และมีโครงการสร้างคอนโดปูม้าให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เป็นการนำร่อง และมีการสอนหรืออบรมการทำต่อ ๆ กันไปเรื่อย และให้เงินสนับสนุนหรือช่วยเหลือ ควรมีการอบรมการใช้สื่อออนไลน์ และอบรมการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย รวมถึงมีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่าง ๆ ผ่านหัวหน้าชมรม เป็นต้น คำสำคัญ: การวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่า; ปูม้า; ประมงพื้นบ้าน
4
11.  แนวทางการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการ จังหวัดชลบุรี
Author : รัตนาพร อนันต์ประดิษฐ์, สรรเสริญ หุ่นแสน และดาวประกาย ระโส
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชลบุรี และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ จำนวน 196 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอนและผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 10 คน ด้วยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามและการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมคำนวณทางสถิติด้วยค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชลบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านการวิจัย เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษามีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาด้านการวัดผล ประเมินผล และดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ และด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ ด้านการนิเทศการศึกษา 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชลบุรี ได้แก่ ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา ด้านการนิเทศการศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา ด้านการวัดผล ประเมินผล และการเทียบโอนผลการเรียน คำสำคัญ: แนวทางการบริหารงานวิชาการ; สถานศึกษาเอกชน
0
12.  ศักยภาพชุมชนวัดราชา กรุงเทพมหานคร ต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเที่ยวเชิงสร้างสรรค์แบบบูรณาการอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรมบนพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง
Author : วาสนา สุรีย์เดชะกุล, ชินวัฒน์ ศาสนนันทน์, อาริยา ภู่ระหงษ์ และศศิธร เจตานนท์
Abstract
การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพชุมชนวัดราชา กรุงเทพมหานคร ต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์แบบบูรณาการอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรมบนพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง โดยผู้วิจัยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงรวมเป็น 32 คน จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูล 4 กลุ่ม คือหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาคเอกชน ประชาชนและนักท่องเที่ยว การเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยใช้แบบสัมภาษณ์ และได้ทำการทดสอบหาค่าความเที่ยงตรงของคำถามที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย เท่ากับ .90 การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) วิเคราะห์แบบสามเส้า (Triangulation) และการวิเคราะห์ SWOT สังเคราะห์ TOWS Matrix และนำเสนอผลการศึกษาแบบพรรณนาวิเคราะห์ (Descriptive Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ศักยภาพชุมชนชาววัดราชา กรุงเทพมหานคร ต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์แบบบูรณาการอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรมบนพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียงได้แก่ ศักยภาพด้านเกี่ยวกับที่ชุมชนชาววัดราชาด้านลักษณะทางภายภาพของชุมชน ศักยภาพด้านทรัพยากรท่องเที่ยวของชุมชนชาววัดราชา ด้านการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนของชุมชนชาววัดราชา ศักยภาพด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน นักท่องเที่ยวและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของชุมชนชาววัดราชาและศักยภาพด้านกิจกรรม การเรียนรู้และปลูกจิตสำนึกของชุมชนชาววัดราชา มีความเหมาะสมที่จะดำเนินการจัดการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้วยนวัตกรรมบนพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียงในชุมชน เนื่องจากมีทรัพยากรทางการท่องเที่ยวที่สามารถนำมาพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ได้ อีกทั้งชุมชนยังมีแผนยุทธศาสตร์ในการจัดการท่องเที่ยวของชุมชน นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการท่องเที่ยวแบบ One Day Trip ในการท่องเที่ยวชุมชนวัดราชาได้ คำสำคัญ: ศักยภาพ; การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์; เศรษฐกิจพอเพียง
1
13.  พัฒนาการพลิกโฉมมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณีเพื่อท้องถิ่น
Author : วยากร อุดมโภชน์ และคณะ
Abstract
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพัฒนาและวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ 2) เพื่อพัฒนาระบบและกลไกการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน 3) เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริการ งานวิจัยนี้มีการบริหารจัดการแผนงานโครงการ โดยศึกษาหาแนวทางการพัฒนาและใช้เทคนิคการสัมภาษณ์ การสำรวจ และการศึกษาความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่าการพัฒนาการพลิกโฉมมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณีเพื่อท้องถิ่น สามารถดำเนินการได้บรรลุผลสัมฤทธิ์ และก่อให้เกิดการพัฒนา โดยข้อ 1-5 เป็นเชิงพัฒนา และ 6-7 เป็นการวิจัยย่อย ดังนี้ 1) การพัฒนาการดำเนินการในยุควิถีใหม่ ระบบการประเมินผลปฏิบัติราชการสายวิชาการเข้าสู่ระบบประเมินออนไลน์ และมีรูปแบบการประเมินที่ทันสมัยมากขึ้น การพัฒนาบุคลากรสู่วิถีใหม่ในยุคดีสรัปชั่น จำนวน 60 คน การแก้ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ ให้มีความทันสมัย การพัฒนาคณาจารย์เข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ ด้านรับใช้สังคม 9 คน 2) พัฒนาระบบและกลไกการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนในชุมชน โดยพัฒนาข้อบังคับของมหาวิทยาลัยในการรองรับการจัดการศึกษาระบบคลังหน่วยกิต การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต หลักสูตรระยะสั้นที่สามารถเก็บเครดิตได้ 3) พัฒนาหลักสูตรระยะสั้นที่รองรับความต้องการการพัฒนาทักษะอาชีพ โดยพัฒนาได้ 12 หลักสูตร และมีหลักสูตรที่ตอบสนองการเรียนรู้ 5 หลักสูตร 4) พัฒนาระบบมหาวิทยาลัยท้องถิ่นอัจฉริยะ โดยพัฒนาระบบรองรับการใช้งานและบริการ 7 ระบบ คือ ระบบเสนอเอกสารและตัดสินใจ ระบบสอบ ติดตามผลภาษาอังกฤษและ ICT ของนักศึกษา ระบบรับสมัครออนไลน์ ระบบแสดงผลการศึกษาออนไลน์ (Transcript Online) ระบบให้บริการนักศึกษาผ่านสมาร์ทโฟน (Smart Phone) ระบบฐานข้อมูลและการใช้งานบริการวิชาการ ระบบประเมินผลปฏิบัติราชการออนไลน์ 5) พัฒนานวัตกร/วิศวกรสังคมแกนนํา ได้โค้ชนวัตกรชุมชนจำนวน 12 คน นักศึกษาแกนนำ จำนวน 8 คน ผู้นำชุมชนจำนวน 30 คน ในพื้นที่ 3 จังหวัด ระยอง จันทบุรีและตราดได้ 3 นวัตกรรมชุมชน และหลักสูตรความร่วมมือกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เรื่อง หลักสูตรผู้สร้างนวัตกรชุมชน 6) การศึกษาความพึงพอใจของผู้รับบริการ 7) การศึกษาประสิทธิภาพการใช้งานระบบประเมินผลปฏิบัติราชการ คำสำคัญ: พลิกโฉมมหาวิทยาลัย
0
14.  การจัดการด้านการบินที่ส่งผลความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม
Author : จิตลดา ปิยะทัต และโชติกา พันธ์ผูกบุญ
Abstract
บทความการจัดการด้านการบินที่ส่งผลความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมมีจุดประสงค์เพื่อศึกษา 1) แนวทางการใช้อากาศยานและท่าอากาศยานเพื่อให้ลดผลกระทบจากการใช้งานที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม 2) มาตราการข้อควรปฎิบัติต่างด้านการบินๆภายใต้หลักการที่ใช้เป็นมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม และ 3) แนวทางการส่งเสริมการตระหนักรู้และสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการขึ้นลงจอดของอากาศยาน การใช้เชื้อเพลิง การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการปรับใช้พื้นที่ในการสร้างสนามบิน ที่ส่งผลให้เกิดมลภาวะทางเสียง มลภาวะทางอากาศ ภาวะโลกร้อน และอื่น ๆ พบว่าทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมการบินมีความตระหนักในการใช้ทรัพยากรที่ส่งผลความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมโดยการขับเคลื่อนความยั่งยืนและการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบินประสบความสำเร็จเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การบินที่ไม่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม (Net-Zero Flying) แนวทางของพันธมิตรสายการบินกลุ่ม Oneworld ที่ประกาศเป้าหมายไม่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม (Net-Zero Emissions) โดยการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ การพัฒนาพลังงานทดแทน การลดการใช้พลาสติก และการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offsets) องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศได้เสนอแนวทางการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากอากาศยานอย่างสมดุล การนำพลังงานแสงงอาทิตย์พลังงานทดแทนอื่นมาปรับใช้ในสนามบิน นอกจากนี้ยังมีการออกมาตรการในการเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้โดยสารอีกทั้งขับเคลื่อนความยั่งยืนและการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบินประสบความสำเร็จ คือ การดำเนินการเพื่อสร้างความยั่งยืน จะต้องคำนึงถึงความเป็นไปของโลก พร้อมกับการคำนึงถึงการเติบโตขององค์กรเอง เพื่อสร้างความสมดุล ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการรักษาสิ่งแวดล้อม แนวทางเพื่อสร้างอุตสาหกรรมการบินที่ดีเกิดจากการใช้เทคโนโลยี เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจให้กับสายการบิน เมื่อทุกคนได้ประโยชน์ก็จะนำไปสู่การร่วมมือกัน เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไปในทิศทางที่ดีขึ้น คำสำคัญ: สิ่งแวดล้อม; ความยั่งยืน; การจัดการด้านการบิน
0