please wait loading...
Untitled Document
 
 ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนตุลาคม-เดือนธันวาคม 2561 ISSN 1686-5715 อ่าน
1.  มาตรฐานความปลอดภัยและข้อควรปฏิบัติของผู้โดยสารในการเดินทางทางอากาศภายในประเทศไทย
Author : พวงแก้ว ประเสริฐพันธุ์
Abstract
บทความนี้ให้ข้อมูลกับนักเดินทางทางอากาศซึ่งมีความกังวลด้านความปลอดภัยทางการบิน เมื่อต้องเดินทางโดยสายการบินภายในประเทศไทย ในปัจจุบันสายการบินต่าง ๆ ได้บรรทุกผู้โดยสาร มากขึ้นและบินไปยังจุดหมายปลายทางที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายกว่าแต่ก่อน เพราะการเปิดน่านฟ้าเสรี ทำให้มีสายการบินเปิดใหม่เพิ่มขึ้นมาก ธุรกิจการบินมีการแข่งขันกันสูงทั้งด้านราคาและความคุ้มค่า ในการบริการ เปิดโอกาสให้ผู้โดยสารได้เลือกบินตามความต้องการ การเกิดอุบัติเหตุทางอากาศนับว่า น้อยมากเมื่อเทียบกับการเดินทางโดยทางอื่น แต่เมื่อเกิดขึ้นก็มักจะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อ ชีวิตและทรัพย์สินของผู้เดินทางและต่อสายการบินนั้น ๆ ด้วย ทำให้ผู้โดยสารส่วนใหญ่ยังคงมีความวิตก กังวลและหวาดกลัวเมื่อต้องเดินทางทางอากาศเพราะรู้สึกว่าชีวิตอยู่เหนือการควบคุมของตนเอง และต้องฝากชีวิตไว้กับนักบิน บางรายเป็นหนักกลายเป็นโรคกลัวการขึ้นเครื่องบิน (aerophobia) บางรายกลัวความสูง บางรายกลัวการก่อการร้าย บทความนี้จะให้คำตอบว่ามีปัจจัยหลัก ๆ อะไรบ้าง ที่เกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัยด้านการบิน เพื่อให้ผู้เดินทางเกิดความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติตามกฎ ที่สนามบินและสายการบินมีไว้ เพื่อเพิ่มความไว้วางใจและความมั่นใจในการเดินทางในทุกเที่ยวบิน คำสำคัญ: ความปลอดภัยทางการบิน, โรคกลัวการขึ้นเครื่องบิน, ผู้โดยสาร
13
2.  ENHANCING CUSTOMER ENGAGEMENT LESSONS FROM A COMMERCIAL BANK IN THAILAND
Author : Dr. Pichate Benjarongrat
Abstract
This research study is aimed to examine the relationships between organizational culture, corporate brand values, and employee service traits to the customer engagement in Thai banking sector organizations in order to better understand and to develop better “customer relationships and engagement”, as well as a new model for further studying and reference. The research involved two phases: a qualitative inductive process of interviews with bank customers and a survey phase which theoretically developed these aspects of service, and operationalized them as variables for testing in a refined customer engagement model. The key service features for customers in their satisfaction and engagement were found to be competence, courtesy, convenience and internal branding. All had positive relationship with customer satisfaction/ customer engagement. Customer engagement and customer’s satisfaction were further found to correlate with customer retention and acquisition. Interestingly, whereas all four service variables correlated with customer engagement and satisfaction, two of the variables-courtesy and internal branding-had stronger relationships with customer engagement. Keywords: customer engagement, employee-consumer satisfaction, corporate culture, internal branding, commercial banking, Thailand.
33
3.  BRAND LOYALTY OF BLUE CUP COFFEE IN THE HIGHWAYS BANGKOK - CHONBURI
Author : Tanpitcha Pomsatien
Abstract
The objective of this research is to investigate how respondents are related by factors of brand loyalty toward Blue Cup Coffee. The sample was 393 customers who purchase Blue Cup Coffee within Bangkok - Chonburi highway area - they were chosen by probability sampling. The questionnaire was used to collect data. There are seven factors affecting of brand loyalty; brand name, quality, price, service, promotion, and store environment. An exceptionally strong relationship between with brand loyalty and customers is found in luxury brand name, price, promotion, and store environment. Product and service have a strong impact on brand loyalty. The result indicated that most of respondents are loyal to the Blue Cup Coffee brand due to good taste of the coffee, good customer service, and promotions. This study suggested that Blue Cup Coffee is capable of operate independently. Keywords: brand loyalty, brand name, price, promotion, store environment, product, service.
23
4.  THE USEFULNESS OF KNOWING THE ECONOMIC/ENVIRONMENTAL/SOCIAL IMPACT OF TOURISM FROM A PLANNING AND POLICY PERSPECTIVE่
Author : J-kita Srisuan
Abstract
THE USEFULNESS OF KNOWING THE ECONOMIC/ENVIRONMENTAL/SOCIAL IMPACT OF TOURISM FROM A PLANNING AND POLICY PERSPECTIVE
8
5.  ลักษณะทางประชากรศาสตร์กับการอดทนยอมรับความต่างทางศาสนาในจังหวัดชลบุรี
Author : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อัควรรณ์ แสงวิภาค
Abstract
การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความแตกต่างด้านประชากรศาสตร์ที่มีต่อการอดทน ยอมรับความต่างทางศาสนา และศึกษาความแตกต่างทางศาสนากับการอดทนยอมรับความต่าง ทางศาสนาของประชากรไทยในจังหวัดชลบุรี โดยวิเคราะห์เพื่อให้ทราบถึงความแตกต่างของลักษณะ ทางประชากรศาสตร์ เช่น เพศ อายุ สถานภาพสมรส เชื้อชาติ การศึกษา อาชีพ รายได้ ตลอดจน ศาสนาที่นับถือ ต่อการอดทนยอมรับความต่างทางศาสนาที่แตกต่างกัน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ ในการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนไทยในเขตจังหวัดชลบุรี จำนวน 375 ชุด วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย t-test, ANOVA พบว่าอาชีพที่แตกต่างของประชากรไทยในจังหวัดชลบุรี มีระดับการอดทนยอมรับความต่างทางศาสนาที่แตกต่างกัน คำสำคัญ: การอดทนยอมรับความต่างทางศาสนา, จังหวัดชลบุรี
36
6.  การสื่อสารการตลาดของสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลของไทยในระยะเริ่มต้น
Author : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประกายกาวิล ศรีจินดา
Abstract
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) โดยใช้การวิเคราะห์ตัวบท (textual analysis) และการวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง (document analysis) เกี่ยวกับโทรทัศน์ ดิจิทัลของประเทศไทยในระยะเริ่มต้น ในปี 2557 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบของการใช้ การสื่อสารการตลาดของสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลของไทยในระยะเริ่มต้น ผลการวิจัยพบว่า มูลค่า ตลาดรวมของธุรกิจการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ (สื่อสารการตลาด) ของโทรทัศน์ดิจิทัลใน ประเทศไทย ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนธันวาคม 2557 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 322.7 ล้านบาท โดยสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลที่ใช้การสื่อสารการตลาดมากที่สุด มีการใช้เครื่องมือสื่อสารการตลาด 6 ประเภทด้วยกัน มีจำนวน 4 สถานี คือ ช่อง Workpoint TV, ช่อง 7HD, ช่อง Spring News และช่องไทยรัฐทีวี ส่วนเครื่องมือสื่อสารการตลาดที่ถูกใช้มากที่สุดของสถานีโทรทัศน์ดิจิทัล เรียงลำดับ ดังนี้ 1) การตลาดดิจิทัล (digital marketing) 2) การโฆษณา (advertising) 3) การประชาสัมพันธ์ (public relations) 4) การส่งเสริมการขาย (sales promotion) และ 5) การสื่อสารการตลาดผ่าน กิจกรรม (event marketing) ซึ่งการใช้งบประมาณในการสื่อสารการตลาดที่มีมูลค่าสูงอาจไม่ใช่ ปัจจัยหลักในการเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความนิยมให้กับกลุ่มเป้าหมาย แต่จะต้องมีความ หลากหลาย และบูรณาการให้เข้าถึงวิถีชีวิตและสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้ได้ ซึ่งมีลักษณะตรงกับสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการ (integrated marketing communication: IMC) นั่นเอง คำสำคัญ: การสื่อสารการตลาด, ทีวีดิจิทัล, โทรทัศน์ระบบดิจิทัล
32
7.  องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ของแบรนด์มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี
Author : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปิ่นปินัทธ์ จ่าดา
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ของแบรนด์มหาวิทยาลัย ศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี 2) เพื่อศึกษาความหมายของแบรนด์ที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึกของผู้ที่มีส่วนได้ ส่วนเสียของมหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยรูปแบบการวิจัยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1) การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ประชากรและกลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารมหาวิทยาลัย และ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย 2) การสัมภาษณ์ กลุ่มตัวอย่างคือ อาจารย์ประจำและเจ้าหน้าที่ของ มหาวิทยาลัย 3) การสนทนากลุ่ม ประชากรและกลุ่มตัวอย่างคือ ครูโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ขนาดใหญ่พิเศษ จำนวน 20 โรงเรียนในภาคตะวันออก จากนั้นผู้วิจัยนำข้อมูลจากการสัมภาษณ์ แบบเจาะลึก การสัมภาษณ์กลุ่ม การสนทนากลุ่ม และข้อมูลจากเอกสารมาวิเคราะห์ร่วมกับ กรอบแนวคิดและทฤษฎีที่กำหนดไว้ เพื่อช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตีความข้อมูลทั้งหมด ในลักษณะการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาในประเด็นที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์ ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบแบรนด์มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี มีจำนวน 6 องค์ประกอบ ได้แก่ ความทันสมัย อัตลักษณ์ของบุคลากร ความมีชื่อเสียง ภาพลักษณ์ของแบรนด์ การสื่อสารแบรนด์ และการบริการสังคม 2) ตัวบ่งชี้องค์ประกอบแบรนด์มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี มีจำนวน ตัวบ่งชี้ 30 ตัวบ่งชี้ คำสำคัญ: องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ของแบรนด์, มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี, แบรนด์
11
8.  ปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับนิติบุคคลอาคารชุดคอนโดมิเนียม
Author : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สอาด หอมมณี
Abstract
ในปัจจุบันอาคารชุดคอนโดมิเนียมถือเป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่งที่มีการเจริญเติบโต เป็นอย่างมาก เนื่องจากหน่วยงานของรัฐมีมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรที่ติดขัด จึงมีการก่อสร้าง รถไฟฟ้า ทำให้อาคารชุดคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นอย่างมากมายตลอดแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ประกอบกับ คนยุคใหม่ที่ต้องแข่งขันกับเวลาและต้องการความสะดวกสบาย อาคารชุดคอนโดมิเนียมจึงเป็นที่นิยม อย่างมาก การที่ผู้คนมาอาศัยอยู่ร่วมกันโดยต่างคนต่างมีพื้นฐานของการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน อีกทั้ง เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ชุมชนต้องใช้ร่วมกัน อาคารชุดคอนโดมิเนียมจึงต้องมีนิติบุคคลเพื่อทำหน้าที่ บริหารจัดการดูแลทรัพย์สินส่วนกลางในนามของนิติบุคคล บทความนี้ศึกษาปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับ นิติบุคคลอาคารชุดคอนโดมิเนียม โดยศึกษาถึงพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติ อาคารชุด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2534 พระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติ อาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 เพื่อศึกษาปัญหา ต่าง ๆ ของคอนโดมิเนียมอาคารชุด และนิติบุคคล ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายเพื่อนำ มาปรับปรุงแก้ไข คำสำคัญ: นิติบุคคล, นิติบุคคลอาคารชุด, คอนโดมิเนียม
21
9.  การใช้สิทธิฟ้องคดีของพลเมืองในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อคนรุ่นปัจจุบัน และคนรุ่นอนาคต
Author : ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนันต์ เพียรวัฒนะกุลชัย
Abstract
บทความนี้นำเสนอการศึกษาการใช้สิทธิฟ้องคดีสิ่งแวดล้อมของประชาชนแทนคนรุ่นหลัง ตามบทบัญญัติกฎหมายประเทศไทย ในการรับรองสิทธิของประชาชนเกี่ยวกับการใช้สิทธิปกป้อง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของคนรุ่นหลังหรือคนรุ่นต่อไป ตามบทบัญญัติกฎหมายของ ประเทศไทยยังไม่มีการกำหนดหลักการรับรองสิทธิดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม จึงก่อให้เกิดปัญหา การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยปราศจากการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการ ใช้สิทธิทางกฎหมาย จึงเห็นควรให้นำหลักการฟ้องคดีสิ่งแวดล้อมโดยประชาชนของสหรัฐอเมริกา มาปรับใช้ โดยกำหนดให้บุคคลใดก็ตามที่สิทธิประโยชน์ของตนเองถูกกระทบหรืออาจจะถูกกระทบ จากการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมลพิษ และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีสิทธิฟ้องให้จำเลยหยุดหรือเพิกถอนการกระทำที่อาจ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งในปัจจุบันและอนาคต แม้ความ เสียหายนั้นจะยังไม่ปรากฏในปัจจุบัน แต่มีข้อมูลในทางวิชาการเห็นว่าจะก่อให้เกิดความเสียหาย ในอนาคตได้ และชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้คำว่าบุคคลนั้น ให้ถือว่า “บุคคลธรรมดา” หรือ “องค์กรภาคเอกชนที่ดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม แม้จะไม่ได้จดทะเบียนต่อกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็ตาม” เป็นผู้เสียหาย มีสิทธิฟ้องคดีทั้งทางแพ่ง อาญา และคดีปกครองได้ โดยเพิ่มเติมสิทธิไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพื่อให้เป็นกฎหมายในระดับสารบัญญัติที่ศาลสามารถหยิบยกไปดำเนินกระบวนวิธีพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการฟ้องคดีแบบกลุ่มได้ และในการดำเนินคดีไม่ว่าจะในทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางปกครองที่มีการเรียกค่าเสียหาย ถ้าเหตุแห่งการฟ้องเป็นการเรียกร้องสิทธิในสิ่งแวดล้อมโดยให้จำเลยหยุดหรือเพิกถอนการดำเนินการโดยมิใช่การเรียกค่าเสียหาย เพื่อตนเองหรือการเรียกค่าเสียหายในลักษณะเป็นการส่วนตัว ให้ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ ของกองทุนสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและกระทรวงการ คลังในการเบิกจ่ายเพื่อกำหนดเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นพนักงาน สอบสวนและทนายความแผ่นดินในการดำเนินคดีฟ้องและแก้ต่างแทนผู้เสียหาย คำสำคัญ: การใช้สิทธิฟ้องคดี, พลเมือง, การปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, คนรุ่นปัจจุบัน และคนรุ่นอนาคต
18
10.  การเปรียบเทียบพยานเอกสารกับพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์
Author : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชัชทพงษ์ เชื้อดี
Abstract
การค้นหาพยานหลักฐานทุกรูปแบบ ล้วนแต่มีความสำคัญเพื่อให้เชื่อมโยงกับข้อเท็จจริง การอ้างอิงพยานหลักฐานที่ดีที่สุดก็เพื่อการพิจารณาคดีให้เป็นไปด้วยความยุติธรรม แต่ในสังคม ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเพิ่มมากขึ้น พยานหลักฐานรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ เป็น ความเชอื่ มโยงระหวา่ งตวั ผกู้ ระทาํ ความผดิ กบั ความเสยี หายทเี่ กดิ ขนึ้ พยานอเิ ลก็ ทรอนกิ สจ์ ะแตกตา่ ง จากพยานเอกสารหรือพยานลักษณะอื่น อันเนื่องมาจากพยานอิเล็กทรอนิกส์นั้นไม่มีความน่าเชื่อถือ สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลง ทำลาย ทำให้สูญหายได้โดยง่าย นอกจากนั้นพยานอิเล็กทรอนิกส์จะต้อง มีการปริ๊นท์เอาท์ (print out) จากระบบซึ่งพิจารณาได้ว่าไม่เป็นต้นฉบับเมื่อเทียบเคียงกับเอกสาร ทั่วไป แต่โดยแท้แล้วพยานอิเล็กทรอนิกส์มีความแตกต่างกับพยานลักษณะทั่วไป ดังนั้นการที่จะ กล่าวอ้างพยานอิเล็กทรอนิกส์ว่าไม่มีความน่าเชื่อถือและไม่สามารถเข้าถึงตัวผู้กระทำความผิดได้ ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในกระบวนการพิจารณาคดีของศาล จึงอาจจะต้องมีวิธีการเฉพาะสำหรับ พยานอิเล็กทรอนิกส์ที่น่าเชื่อถือเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีต่อไป คำสำคัญ: พยานอิเล็กทรอนิกส์, พยานเอกสาร
14
11.  แนวโน้มการวัดผลตอบแทนการลงทุน (ROI) การฝึกอบรมแบบจำลองสมองแห่งการเรียนรู้
Author : ผู้ช่วยศาสตราจารย์อมรศิริ ดิสสร
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์มุมมองของผู้บริหารระดับสูงที่มีผลต่อการวัดผล ตอบแทนการลงทุน (ROI) การฝึกอบรมแบบจำลองสมองแห่งการเรียนรู้ 2) เพื่อกำหนดและตรวจสอบ รูปแบบที่เป็นไปได้ในอนาคต ในการวัดผลตอบแทนการลงทุน (ROI) การฝึกอบรมแบบจำลองสมอง แห่งการเรียนรู้ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพด้วยเทคนิคเดลฟาย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญการจัด การฝึกอบรม ผู้ประกอบการ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรมแบบจำลองสมองแห่งการเรียนรู้ และ กลุ่มนักบัญชีที่เกี่ยวข้องกับผลตอบแทนการลงทุน จำนวน 21 คน ใช้แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม เป็นเครื่องมือในการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนามัธยฐาน และพิจารณาความสอดคล้อง ยืนยันคำตอบด้วยการคำนวณค่าพิสัยควอไทล์ พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อแนวโน้มการวัดผลตอบแทน การลงทุน (ROI) การฝึกอบรมแบบจำลองสมองแห่งการเรียนรู้มีองค์ประกอบคือ การจัดการ สภาพแวดล้อมทางการฝึกอบรม นโยบายและระเบียบข้อบังคับ การเรียนรู้งานและความรับผิดชอบ ในงาน การสร้างความผูกพันกับพนักงาน การวัดผลตอบแทนการฝึกอบรมจากการเรียนรู้ของพนักงาน ทางความมั่นคงในการทำงาน สำหรับการกำหนดและตรวจสอบรูปแบบที่เป็นไปได้ในอนาคตของ แนวโน้มการวัดผลตอบแทนการลงทุน (ROI) การฝึกอบรมแบบจำลองสมองแห่งการเรียนรู้ ผ่านการ ตรวจสอบรูปแบบที่เป็นไปได้ในอนาคตโดยผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ปัจจัย คำสำคัญ: ผลตอบแทนการลงทุน, สมองแห่งการเรียนรู้
20
12.  ความพึงพอใจของผู้รับบริการที่มีต่อการให้บริการของเทศบาลเมืองอโยธยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
Author : เรืออากาศตรี ดร. พันธุ์ศักดิ์ ไทยสิทธิ
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการในการให้บริการ ด้านกระบวนการขั้นตอนการให้บริการ ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก และเพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ จำแนกตามงานที่เข้ารับบริการ เป็นการวิจัย เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในเทศบาลเมืองอโยธยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 500 คน โดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้รับบริการมีความพึงพอใจต่อการให้บริการของเทศบาลเมืองอโยธยา อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าด้านที่มีคะแนนสูงสุดเรียงตามลำดับคือ ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก และด้านกระบวนการขั้นตอนการให้บริการ 2) ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้รับบริการ จำแนกตามงาน ที่รับบริการ พบว่าอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่างานที่มีคะแนนสูงสุดคือ งานขออนุญาต ต่าง ๆ (กองช่าง) โดยมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด คำสำคัญ: ความพึงพอใจ, ผู้รับบริการ, เทศบาลเมืองอโยธยา
22
13.  ความสัมพันธ์ระหว่างภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยว คุณภาพบริการ ความพึงพอใจ และความตั้งใจ เชิงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวในตลาดชุมชนจีนโบราณบ้านชากแง้ว จังหวัดชลบุรี
Author : ณัฏฐพัชร มณีโรจน์
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยว คุณภาพบริการ ความ พึงพอใจ และความตั้งใจเชิงพฤติกรรม และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยว คุณภาพบริการ ความพึงพอใจ กับความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยว ในตลาดชุมชนจีนโบราณบ้านชากแง้ว จังหวัดชลบุรี ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย มีค่า ความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .884 มีลักษณะเป็นแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ กลุ่มตัวอย่างเป็น นักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวในตลาดชุมชนจีนโบราณบ้านชากแง้ว จำนวน 384 ตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่อศึกษาระดับของตัวแปร และวิเคราะห์ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันเพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร พบว่าค่าเฉลี่ยของ ตัวแปรความตั้งใจเชิงพฤติกรรม คุณภาพบริการ ภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยว และความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนค่าความสัมพันธ์ของตัวแปร พบว่าความพึงพอใจ คุณภาพการบริการ กับความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 และภาพลักษณ์การท่องเที่ยวกับความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ: ภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยว, คุณภาพบริการ, ความพึงพอใจ, ความตั้งใจเชิงพฤติกรรม, ตลาดจีนโบราณ, บ้านชากแง้ว
15
14.  ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาการบริหารจัดการงานกิจการนักศึกษาสำหรับสถาบันอุดมศึกษา เอกชนในทศวรรษหน้า
Author : วรเชษฐ์ สิงห์ลอ
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบริหารกิจการนักศึกษา แนวทาง และกลไกการจัดการกิจการนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จ เป็นการศึกษาแบบผสมผสานทั้งการวิจัย เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 60 คน ได้แก่ ผู้ปฏิบัติงานด้านกิจการ นักศึกษา และนายกสโมสรนักศึกษาหรือคณะกรรมการบริหารสโมสรนักศึกษา สถาบันอุดมศึกษา เอกชน จำนวน 30 แห่ง ใช้การสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีโครงสร้างเป็นเครื่องมือในการวิจัย พบว่าด้านโครงสร้างองค์กร มีการกำหนดภารกิจของหน่วยงานไว้ชัดเจน แต่ยังขาดการบริหารทรัพยากร มนุษย์ที่มีประสิทธิภาพ ไม่มีการกำหนดบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจน บุคลากรจึงขาดความมั่นใจในการ ปฏิบัติงาน ด้านวัฒนธรรมองค์กร มีความร่วมมือที่ดีแต่ขาดความคิดสร้างสรรค์ และด้านเทคโนโลยี มีงบประมาณสนับสนุนอย่างเพียงพอ แต่บุคลากรขาดความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การแก้ไขปัญหาคือ ควรมอบหมายนโยบายและกำหนดบทบาทหน้าที่ให้ชัดเจน รวมทั้งพัฒนาทักษะ ความเชี่ยวชาญของบุคลากรให้มากขึ้นเพื่อการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำสำคัญ: ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย, การบริหารกิจการนักศึกษา, สถาบันอุดมศึกษา
19
15.  การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของการฟื้นคืนสู่สภาวะปกติในการทำงานของพนักงานในธุรกิจ ประกันวินาศภัย
Author : กัณฐก ขวัญยืน
Abstract
การวิจัยนี้มุ่งวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของโมเดลการวัดการฟื้นคืนสู่สภาวะปกติในการ ทำงานของพนักงานในธุรกิจประกันวินาศภัยกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยศึกษากับพนักงานในธุรกิจ ประกันวินาศภัย จำนวน 300 คน จากการเลือกตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวม ข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตรวัดประเมินค่า 6 ระดับ มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.60 - 1.00 และมีค่าความ เชื่อมั่นเท่ากับ 0.945 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน พบว่า โมเดลการวัดการฟื้นคืนสู่สภาวะปกติในการทำงานของพนักงานในธุรกิจประกันวินาศภัยตามภาวะ สันนิษฐานมีความกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีวัดความกลมกลืน คือ X 2 = 14.309, df = 10, p-value = 0.159, X 2/df = 1.431, GFI = 0.987, AGFI = 0.963, RMR = 0.014, RMSEA = 0.038 แสดงว่ามีความกลมกลืนในระดับดี คำสำคัญ: การฟื้นคืนสู่สภาวะปกติในการทำงาน, ธุรกิจประกันวินาศภัย, การวิเคราะห์องค์ประกอบ เชิงยืนยัน
31
16.  การพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์โดยใช้โมเดลแอบสแตรกโค้ดเป็นฐานสำหรับเพิ่มทักษะการแก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
Author : จาตุพักตร์ พากเพียร
Abstract
เกมคอมพิวเตอร์ช่วยเพิ่มความสนใจและสามารถพัฒนาทักษะการคิดของนักเรียนได้ การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์สำหรับเพิ่มทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยใช้โมเดลแอบสแตรกโค้ดเป็นฐาน และศึกษาผลของการนำ เกมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนโรงเรียนนครศรีลำดวนวิทยา อำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ ปีการศึกษา 2558 โดยเป็น อาสาสมัครที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 60 คน สุ่มแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเท่า ๆ กัน คือกลุ่มที่ฝึกด้วยเกมคอมพิวเตอร์และกลุ่มเรียนตามปกติในชั่วโมงซ่อมเสริม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบทดสอบทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ t-test พบว่า เกมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นตามโมเดลแอบสแตรกโค้ดสำหรับเพิ่มทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ผ่านแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Android 4.2 ประกอบด้วย 5 เกม ได้แก่ เกมปาเป้า เกมเครื่องดื่ม เกมฟาร์ม เกมบวกจำนวน และเกมเครื่องหมาย ช่วยทำให้ นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองและฝึกทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เริ่มจากการแก้ปัญหาง่าย ๆ ไปจนถึงปัญหาที่มีความซับซ้อน ผลการนำไปใช้ปรากฏว่า นักเรียนกลุ่ม ที่ฝึกด้วยเกมคอมพิวเตอร์มีทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังการฝึกสูงกว่าก่อนการฝึก นอกจากนี้กลุ่มที่ฝึกด้วยเกมคอมพิวเตอร์มีทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์สูงกว่ากลุ่มเรียน ตามปกติในชั่วโมงซ่อมเสริม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงให้เห็นว่าเกมคอมพิวเตอร์ ที่พัฒนาขึ้นสามารถเพิ่มทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สามารถเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาตอนต้นได้ คำสำคัญ: โมเดลแอบสแตรกโค้ด, เกมคอมพิวเตอร์, ทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์, นักเรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
14
17.  ผลการใช้โปรแกรมฝึกการคิดเลขคณิต สำหรับเพิ่มความจำขณะทำงานของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1
Author : บุราณี ระเบียบ
Abstract
ความจำขณะทำงานเป็นกระบวนทางปัญญาที่สำคัญ ซึ่งสัมพันธ์กับทักษะการเรียนรู้ สติปัญญา และกระบวนการคิดวิเคราะห์ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมฝึกการคิดเลขคณิตสำหรับ เพิ่มความจำขณะทำงานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยพิจารณาจากการเปรียบเทียบคะแนน เฉลี่ยความจำขณะทำงานและคะแนนเฉลี่ยความสามารถด้านเลขคณิตของกลุ่มทดลองหลังฝึกด้วย โปรแกรมฝึกการคิดเลขคณิตที่พัฒนาขึ้น และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความจำขณะทำงานกับ ความสามารถด้านเลขคณิต กลุ่มตัวอย่างเป็นอาสาสมัครนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนบ้านบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เครื่องมือวิจัยเป็นแบบประเมิน ความจำขณะทำงานอัตโนมัติ (AWMA) และแบบทดสอบความสามารถด้านเลขคณิต วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติ t-test ผลการวิจัยพบว่า โปรแกรมฝึกการคิดเลขคณิตมีความเหมาะสมที่จะใช้ฝึกการคิด เลขคณิตสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 คะแนนเฉลี่ยความจำขณะทำงานและความสามารถ ด้านเลขคณิตของกลุ่มทดลองหลังฝึกด้วยโปรแกรมฝึกการคิดเลขคณิตที่พัฒนาขึ้นสูงกว่าก่อนฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และความจำขณะทำงานกับความสามารถด้านเลขคณิตของกลุ่มทดลอง หลังฝึกด้วยโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คำสำคัญ: โปรแกรมฝึกการคิดเลขคณิต, ความจำขณะทำงาน, นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
72
18.  การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเมินทักษะกระบวนการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน ของครู ระดับประถมศึกษาแบบออนไลน์
Author : วาทิณี จิตรสำรวย
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเมินทักษะกระบวนการประเมิน เพื่อพัฒนาผู้เรียนของครูระดับประถมศึกษาแบบออนไลน์ และนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเมินทักษะ กระบวนการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนของครูระดับประถมศึกษาแบบออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นไปใช้กับครู ระดับประถมศึกษา ใช้ผู้เชี่ยวชาญ 18 คน จัดลำดับองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ด้วยกระบวนการลำดับชั้น เชิงวิเคราะห์ พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม PHP พบว่าเกณฑ์การ ประเมินทักษะกระบวนการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนของครูระดับประถมศึกษาประกอบด้วย 5 ด้าน (20 ตัวบ่งชี้) ได้แก่ ด้านความรู้เกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ของผู้เรียน ด้านความรู้เกี่ยวกับ การให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน ด้านความรู้เกี่ยวกับการประเมินเพื่อการเรียนรู้ ด้านความรู้ในเนื้อหา ผนวกวิธีสอน และด้านความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์เรียนรู้ของผู้เรียน สามารถจำแนกระดับทักษะ กระบวนการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนออกเป็น 5 ระดับ ตั้งแต่ระดับที่ 1 (ต้องปรับปรุง) ถึงระดับที่ 5 (ดีเด่น) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเมินทักษะกระบวนการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนของครูระดับ ประถมศึกษาแบบออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมที่จะนำไปใช้งาน คำสำคัญ: เกณฑ์การประเมินทักษะ, การประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน
11
19.  ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพบุคลากรแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในยุคไทยแลนด์ 4.0 ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 7
Author : วรัญญภรณ์ ชาลีรักษ์
Abstract
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยสถานภาพส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพ บุคลากรแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในยุคไทยแลนด์ 4.0 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย การพัฒนาบุคลากร ด้านความรู้ ด้านสุขภาพ ด้านการบริหาร ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านแรงจูงใจ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพบุคลากรแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในยุคไทยแลนด์ 4.0 3) สร้างสมการพยากรณ์การพัฒนาศักยภาพบุคลากรแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในยุคไทยแลนด์ 4.0 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 498 คน ได้จากการสุ่มหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยง 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และ Multiple Regression Analysis ด้วยวิธี Stepwise พบว่า 1) บุคลากรที่มีเพศ ช่วงอายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ ตำแหน่ง และวิทยฐานะต่างกัน มีการพัฒนาศักยภาพบุคลากรแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 บุคลากรที่มีประสบการณ์การทำงานมากกว่า 10 ปี จะมีบรรทัดฐานและค่านิยม ร่วมกันมากกว่าบุคคลากรที่มีประสบการณ์การทำงานน้อยกว่า 2 ปี บุคลากรที่สังกัดจังหวัดต่างกัน มีการพัฒนาศักยภาพบุคลากรแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และ .01 ตามลำดับ 2) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการพัฒนาบุคลากรด้านการ บริหารงาน ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านแรงจูงใจ มีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 ยกเว้นด้านความรู้ ด้านสุขภาพ มีความสัมพันธ์ทางลบกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร แบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนา ศักยภาพบุคลากรแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ด้านการบริหารงาน ด้านแรงจูงใจ ด้านสุขภาพ และด้านสิ่งแวดล้อม เรียงตามลำดับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทุกด้าน สามารถสร้างสมการ พยากรณ์การพัฒนาศักยภาพบุคลากรแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในยุคไทยแลนด์ 4.0 ได้ดังนี้ สมการพยากรณ์รูปแบบคะแนนดิบ Ý = 1.032 + 0.522**X3 + 0.167**X5 – 0.124**X2 + 0.131**X4 สมการพยากรณ์รูปแบบคะแนนมาตรฐาน ŹY = 0.573**X3 + 0.211**X5 – 0.195**X2 + 0.196**X4 คำสำคัญ: ศักยภาพบุคลากร, ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ, ไทยแลนด์ 4.0
39
20.  องค์กรควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย
Author : พิจิตร เกิดจร
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายว่าด้วยองค์กรควบคุมและตรวจสอบ การตรากฎหมายให้ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ โดยใช้วิธีวิทยาการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยการวิจัยเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่าการควบคุมและตรวจสอบ ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายมี 3 ประเด็นที่เป็นปัญหาคือ รูปแบบองค์กร ขอบเขตอำนาจ และหนา้ ที่ และกระบวนการใชอ้ ำนาจ นำไปสกู่ ารจัดทำรา่ งปรับปรุงแกไ้ ขรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ในประเด็นเข้าสู่อำนาจหรือที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการ สรรหา คุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อำนาจในการรับฟ้องโดยตรงไม่ผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน และอำนาจในการวินิจฉัยเฉพาะความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติกฎหมาย การวิจัยได้จัดทำบทบัญญัติต้นแบบสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 โดยมีข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไปคือ “องค์กรและกระบวนการควบคุมตรวจสอบ การใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ” คำสำคัญ: ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ, กฎหมาย, ศาลรัฐธรรมนูญ
15
21.  ศักยภาพการจัดการการท่องเที่ยวเรือสำราญ อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
Author : ภาณุมาศ เกตุแก้ว
Abstract
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินศักยภาพการจัดการการท่องเที่ยว เรือสำราญของอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการ เก็บรวบรวมข้อมูลจากนักท่องเที่ยวเรือสำราญชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวยังอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 400 คน ประเมินศักยภาพการจัดการการท่องเที่ยวเรือสำราญของ อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยเครื่องมือการวิเคราะห์ความสำคัญและผลการปฏิบัติงาน (importance and performance analysis: IPA) พบว่า 9 ปัจจัยที่มีศักยภาพในระดับตํ่า ได้แก่ กระบวนการขนถ่ายนักท่องเที่ยว เรือขนถ่ายผู้โดยสาร การรักษาความปลอดภัย ความสามารถ ในการรองรับของท่าเรือ โครงสร้างพื้นฐานสำหรับท่าเรือ สิ่งอำนวยความสะดวกของท่าเรือ ระบบ สาธารณูปโภคพื้นฐาน พื้นที่รองรับผู้โดยสารเรือสำราญ และการบริการข้อมูลทางการท่องเที่ยว ในขณะที่ 3 ปัจจัยที่มีศักยภาพอยู่ในระดับสูง ได้แก่ ผู้ให้บริการและมัคคุเทศก์ การจัดการรายการ นำเที่ยวบนฝั่ง และแหล่งท่องเที่ยว คำสำคัญ: การประเมินศักยภาพ, การจัดการการท่องเที่ยวเรือสำราญ, อำเภอเกาะสมุย จังหวัด สุราษฎร์ธานี
26
22.  ความต้องการกิจกรรมพลศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนในสังกัดเทศบาล จังหวัดชลบุรี
Author : พิศาล หาญแก้ว
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการกิจกรรมพลศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4-6 โรงเรียนในสังกัดเทศบาล จังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนในสังกัดเทศบาล จังหวัดชลบุรี จำนวน 16 โรงเรียน แบ่งเป็นนักเรียนชาย จำนวน 803 คน นักเรียนหญิง จำนวน 774 คน รวม 1,577 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วน ประมาณค่า (rating scale) 5 ระดับ ความต้องการกิจกรรมพลศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 กำหนด 5 กิจกรรม ประกอบด้วย การเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย การเล่นเกม กีฬาไทย และ กีฬาสากล ได้ค่าความเชื่อมั่น .97 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่า (t-test) พบว่าความต้องการกิจกรรมพลศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนในสังกัดเทศบาล จังหวัดชลบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับปานกลาง เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยคือ กิจกรรมการออกกำลังกาย กิจกรรม การเคลื่อนไหว กิจกรรมกีฬาสากล กิจกรรมการเล่นเกม และกิจกรรมกีฬาไทย และจำแนกตามเพศ พบว่า เพศชายโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายกิจกรรมพบว่าอยู่ในระดับมาก 2 กิจกรรม และปานกลาง 3 กิจกรรม เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ กิจกรรมการออกกำลังกาย กิจกรรมการเคลื่อนไหว และกิจกรรมกีฬาไทย เพศหญิงโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณา รายกิจกรรมพบว่าอยู่ในระดับมาก 3 กิจกรรม และปานกลาง 2 กิจกรรม เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจาก มากไปน้อย ได้แก่ กิจกรรมกีฬาสากล กิจกรรมการออกกำลังกาย กิจกรรมการเคลื่อนไหว และพบว่าความต้องการกิจกรรมพลศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนในสังกัดเทศบาล จังหวัดชลบุรี จำแนกตามเพศ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับ .05 คำสำคัญ: กิจกรรมพลศึกษา, ความต้องการ, โรงเรียนประถมศึกษา, จังหวัดชลบุรี
25
23.  ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3
Author : ภรณ์ทิพย์ ปั้นก้อง
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 ใช้เทคนิคเดลฟายกับผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 19 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 5 คน ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 9 คน คณาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จำนวน 1 คน ครูอาวุโส จำนวน 4 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม 3 ฉบับ โดย ฉบับแรกเป็นแบบสอบถามปลายเปิด ฉบับที่ 2 และ 3 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่ามัธยฐาน (median) และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ (inter-quartile range) พบว่าภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนประกอบด้วย ความมีจินตนาการ ความยืดหยุ่น และความมีวิสัยทัศน์ โดยแต่ละด้านมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ด้านจินตนาการ ประกอบด้วย ความศรัทธาในการเปลี่ยนแปลงของการสร้างสรรค์งาน มีความเชื่อมั่นที่จะสร้างสรรค์และพัฒนางานในรูปแบบใหม่ ความสามารถในการสร้างแรงจูงใจให้กับ ผู้ร่วมงาน ริเริ่มการเปลี่ยนแปลงงานโดยใช้นวัตกรรมเชิงระบบ ความสามารถทางสติปัญญา แก้ไข ปัญหาด้วยการคิดวิเคราะห์และนำทางเลือกในการแก้ปัญหาไปสู่การปฏิบัติ และสร้างบรรยากาศ การทำงานที่อบอุ่น 2. ด้านความยืดหยุ่น ประกอบด้วย ความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ปรับตัวตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็ว มีศักยภาพในการประสานงานกับผู้ร่วมงาน มีศักยภาพ ในการวิเคราะห์ปัญหา แก้ปัญหาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ยอมรับความคิดเห็นของผู้ร่วมงาน มีความสัมพันธ์อันดีกับบุคลากรในหน่วยงาน 3. ด้านวิสัยทัศน์ ประกอบด้วย มีศักยภาพในการกำหนดเป้าหมายองค์การเพื่อการบริหาร สู่ความเป็นเลิศ มีศักยภาพในการกำหนดวิสัยทัศน์องค์การทั้งในปัจจุบันและอนาคต สามารถกำหนดพันธกิจและยุทธศาสตร์การทำงานพร้อมกับยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น มีศักยภาพในการ บริหารงานตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ และยุทธศาสตร์ มีศักยภาพในการสร้างงานใหม่เพื่อพัฒนาองค์การ มีความกล้าหาญในการนำเสนอความคิดใหม่ที่แตกต่างไปจากสภาพแวดล้อมปัจจุบัน คำสำคัญ: ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์, ผู้บริหารโรงเรียน, สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ชลบุรี เขต 3
20
24.  ผลการปรึกษาครอบครัวทฤษฎีการเชื่อมโยงระหว่างรุ่นต่อสัมพันธภาพระหว่างพี่น้อง
Author : นริษา พนธาจิตร
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการปรึกษาครอบครัวตามทฤษฎีการเชื่อมโยงระหว่าง รุ่นต่อสัมพันธภาพระหว่างพี่น้อง กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนอายุ 12-17 ปี ที่มีพี่น้องที่เจ็บป่วยเรื้อรัง จำนวน 20 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 10 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับการปรึกษา ครอบครัวตามทฤษฎีการเชื่อมโยงระหว่างรุ่น จำนวน 10 ครั้ง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 45-60 นาที และกลุ่มควบคุมไม่ได้รับการปรึกษาและให้ดำเนินชีวิตตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบวัด สัมพันธภาพระหว่างพี่น้องและโปรแกรมการปรึกษาครอบครัวตามทฤษฎีการเชื่อมโยงระหว่างรุ่น เพื่อใช้วัดผลสัมพันธภาพระหว่างพี่น้อง 3 ระยะ คือ ระยะก่อนการทดลอง ระยะหลังการทดลอง และ ระยะติดตามผล พบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนสัมพันธภาพระหว่างพี่น้อง ระยะหลังการทดลองและ ระยะติดตามผลสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และกลุ่มทดลองมีคะแนนสัมพันธภาพ ระหว่างพี่น้อง ระยะหลังการทดลอง และระยะติดตามผลสูงกว่าระยะก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ: สัมพันธภาพระหว่างพี่น้อง, ทฤษฎีการเชื่อมโยงระหว่างรุ่น, การปรึกษาครอบครัว
3
25.  ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายในการบังคับใช้พระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558
Author : จิรฐา พิมเสน
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ถึงปัญหาและอุปสรรคการบังคับใช้พระราชบัญญัติ หอพัก พ.ศ. 2558 เพราะแม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายเกี่ยวกับหอพัก แต่จากหลักเกณฑ์ของ กฎหมายฉบับดังกลา่ วพบวา่ ไมส่ ามารถใหค้ วามคมุ้ ครองนักศึกษาที่อาศัยในหอพักไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคการบังคับใช้กฎหมายฉบับดังกล่าว จึงได้ศึกษากฎหมายต่างประเทศ ประกอบด้วยสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร เพื่อหาแนวทางแก้ไขปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว ให้สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องตามหลักสากล ผลการศึกษาพบปัญหาในเรื่อง 1) ปัญหาสัญญาการเช่าหอพัก ในปัจจุบันพบว่าเจ้าของหอพัก หลายแห่งมักมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเก็บค่าเช่าล่วงหน้า โดยจะเรียกเก็บล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่นักศึกษาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแบกรับ ภาระค่าใช้จ่าย และยังต้องอดทนอยู่หอพักดังกล่าวเพื่อให้สิ้นสัญญา 2) ปัญหาเกี่ยวกับการกำหนด อายุของผู้เข้าพักหอพัก พบว่ามาตรา 36 ประกอบมาตรา 4 กำหนดว่าหากหอพักใดรับผู้พักที่ศึกษา สูงกว่าปริญญาตรี และอายุเกิน 25 ปี ก็จะมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท ทำให้เจ้าของกิจการหอพัก สูญเสียรายได้ 3) ปัญหาเกี่ยวกับการแบ่งประเภทหอพัก พบว่ากฎหมายกำหนดหอพักเป็น 2 ประเภท คือ หอพักชายและหอพักหญิง แต่ในทางปฏิบัติพบว่ามีการพักรวมกันทั้งชายและหญิง ก่อให้เกิดการมั่วสุม ทั้งยาเสพติด การพนัน และการมีเพศสัมพันธ์กันในขณะเป็นนักศึกษา การทดลอง อยู่ร่วมกันก่อนแต่งงาน 4) ปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดสาธารณูปโภคแก่ผู้พักในหอพัก พบว่ากฎหมาย ไม่ได้กำหนดระเบียบเกี่ยวกับการจัดเก็บค่านํ้า ค่าไฟไว้ และไม่ได้กำหนดให้เป็นรายการที่ต้องแสดงไว้ โดยเปิดเผย และไม่มีการกำหนดอัตราโทษในเรื่องดังกล่าวไว้แต่อย่างใด ส่งผลให้มีการกระทำในลักษณะ ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องหรือแทบทุกหอพัก ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะว่า เห็นควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 เพื่อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการและนักศึกษา ดังนี้ 1) ปัญหาสัญญาการเช่าหอพัก เห็นสมควรให้มีการ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 มาตรา 10 กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการหอพักอาจ เรียกเก็บเงินค่าเช่าล่วงหน้าได้ไม่เกินอัตราค่าเช่าหนึ่งเดือน โดยให้นำเงินค่าเช่าล่วงหน้าดังกล่าวชำระ เป็นค่าเช่าหนึ่งเดือนสุดท้ายของสัญญาเช่า และกำหนดห้ามมิให้เจ้าของหอพักเก็บค่าประกันหอพัก แต่ให้มีลักษณะการเรียกเก็บค่าทำความสะอาด ค่าทำห้องพักเสียหาย ตอนหมดสัญญาหรือตอน คืนห้องพักนั้นให้แก่เจ้าของหอพัก 2) ปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดอายุของผู้เข้าพักหอพัก เห็นควร เสนอแก้ไขพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 มาตรา 36 ประกอบมาตรา 4 กำหนดให้บุคคลใด ก็ตามที่กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้มีสิทธิเข้าพักในหอพักได้ 3) ปัญหาเกี่ยวกับ การแบ่งประเภทหอพัก เห็นสมควรให้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 เพิ่มมาตรการ ในการลงโทษเจ้าของหอพัก หรือควรกำหนดให้มีหน่วยงานภาครัฐส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบหอพัก อย่างสมํ่าเสมอ 4) ปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดสาธารณูปโภคแก่ผู้พักในหอพัก เห็นสมควรให้ พระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 มีบทบัญญัติควบคุมการกำหนดค่านํ้าและค่าไฟ คำสำคัญ: การบังคับใช้กฎหมาย, หอพัก, พระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558
5
26.  การศึกษาปัจจัยการจัดการโลจิสติกส์การท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่ส่งผลต่อความจงรักภักดีของนักท่องเที่ยว เชิงกีฬาชาวไทย
Author : ตรีรัตน์ ถุงพันธ์
Abstract
การท่องเที่ยวเชิงกีฬาเป็นการท่องเที่ยวทางเลือกหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ในประเทศไทย และหาดบางแสนนับเป็นสถานที่ที่สำคัญของประเทศไทยที่ได้รับความนิยมอย่างสูง จากนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาชาวไทย แต่การที่นักท่องเที่ยวจะเลือกมาท่องเที่ยวอีกจะต้องพิจารณาในหลาย ปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยด้านโลจิสติกส์ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ การวิจัยนี้จึงศึกษาปัจจัยการจัดการ โลจิสติกส์การท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่ส่งผลต่อความจงรักภักดีของนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาชาวไทย ของหาด บางแสน จังหวัดชลบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความจงรักภักดีของนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาชาวไทย ที่มีต่อหาดบางแสน เปรียบเทียบความจงรักภักดีของนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาชาวไทยของหาดบางแสน จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเชิงกีฬา และศึกษาการจัดการโลจิสติกส์ การท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่มีผลต่อความจงรักภักดีของนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาชาวไทยของหาดบางแสน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักท่องเที่ยวเชิงกีฬาชาวไทยที่มาเข้าร่วมอีเวนต์มาราธอน จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวน แบบทางเดียว และการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ พบว่า ความจงรักภักดีของนักท่องเที่ยว เชิงกีฬาชาวไทยที่มีต่อหาดบางแสนโดยรวมอยู่ในระดับมาก ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีปัจจัยส่วนบุคคล ด้านเพศ สถานภาพ อาชีพ และภูมิลำเนาที่ต่างกัน มีระดับความจงรักภักดีต่อหาดบางแสนโดยรวม ไม่แตกต่างกัน ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ ระดับการศึกษา และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่ต่างกัน มีระดับความจงรักภักดีต่อหาดบางแสนโดยรวมแตกต่างกัน ผู้ตอบแบบสอบถาม ที่มีพฤติกรรมการท่องเที่ยวด้านจำนวนครั้งที่เข้าร่วมอีเวนต์มาราธอน และจำนวนผู้ร่วมเดินทาง ที่ต่างกัน มีระดับความจงรักภักดีต่อหาดบางแสนโดยรวมแตกต่างกัน และปัจจัยการจัดการโลจิสติกส์ การท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่มีผลเชิงบวกต่อความจงรักภักดีโดยรวม ได้แก่ การไหลของข้อมูลข่าวสาร การไหลทางด้านกายภาพ และการไหลด้านการเงิน ตามลำดับ คำสำคัญ: การจัดการโลจิสติกส์การท่องเที่ยวเชิงกีฬา, ความจงรักภักดี, อีเวนต์มาราธอน
10