please wait loading...
Untitled Document
 



 ปีที่ 15 ฉบับที่ 3 ประจำเดือนมกราคม-เดือนมีนาคม 2562 ISSN 1686-5715 อ่าน
1.  คุณลักษณะนักออกแบบสื่อในยุคดิจิทัล
Author : เยาวนารถ พันธุ์เพ็ง
Abstract
คุณลักษณะนักออกแบบสื่อในยุคดิจิทัล ใช้วิธีวิจัยแบบเดลฟาย (Delphi technique) มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะนักออกแบบสื่อในยุคดิจิทัลจากผู้เชี่ยวชาญ 20 คน ได้แก่ กลุ่ม นักวิชาการ จำนวน 10 คน และกลุ่มนักวิชาชีพ จำนวน 10 คน มีการเก็บข้อมูล 3 รอบ โดยในรอบที่ 1 ใช้แบบสัมภาษณ์ รอบที่ 2 และรอบที่ 3 ใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่ามัธยฐาน และค่าพิสัยควอไทล์ พบว่า 1) ด้านความรู้ (knowledge) นักออกแบบสื่อควรมีความรู้ และทักษะการสื่อสาร (ฟัง พูด อ่าน เขียน) มีความรู้เกี่ยวกับการสร้างสรรค์เนื้อหา (creative content) มีความรู้เท่าทันสื่อ (media literacy) มีความรู้การใช้ภาพ และควรใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ได้ดี 2) ด้านเครือข่ายความสัมพันธ์ (networks) นักออกแบบสื่อควรเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี ควรมีจรรยาบรรณในวิชาชีพ ควรมีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ทำงานเป็นทีมได้ มีเครือข่าย ความคิดและทำงานร่วมกันได้ และควรเป็นคนมองโลกในเชิงบวก 3) ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม (technology & innovation) นักออกแบบสื่อควรใช้อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และ แอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารได้ดี ควรใช้การสื่อสารผ่านสื่อใหม่ สื่อสังคมออนไลน์ และ ควรเข้าใจกระบวนการผลิตสื่อในยุคดิจิทัล 4) ด้านความคิดสร้างสรรค์ (creativity) นักออกแบบสื่อ ควรเป็นคนชอบรับสาร ทั้งข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง และสิ่งรอบตัว ควรเป็นคน มีจินตนาการ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ควรมีประสบการณ์ในงานด้านสื่อ และมีความยืดหยุ่นใน การทำงาน และสามารถทำงานได้หลากหลาย (multi-tasks) และ 5) ด้านการเป็นผู้ประกอบการ (entrepreneurship) ควรมีความเป็นผู้นำ มีความซื่อสัตย์ และมีธรรมาภิบาลในการบริหารงาน
28
2.  INDUSTRY 4.0 READINESS IN THE THAI AUTOMOTIVE INDUSTRY
Author : Nuchon Meechamna
Abstract
The Industry 4.0 concept has been boon developed in the auto industry and taken on worldwide. This research aims to examined Thai automotive industry’s readiness for Industry 4.0. This is a quantitative research. The researcher used survey as a research tool and descriptive statistics to analyze the data. The sample was employees who work in automotive industry. The results showed that Thai automotive industry is comparatively prepared for implementing Industry 4.0 therefore it is undertaking horizontal and vertical system, workflow, process and operations integration.
11
3.  อาชญากรรมสิ่งแวดล้อม
Author : มณฑา ประพันธ์เนติวุฒิ
Abstract
อาชญากรรมสิ่งแวดล้อม คือการแสวงหาประโยชน์ การใช้ประโยชน์จากธรรมชาติและ ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ทำให้เกิดความเสียหายหรือผลร้าย แก่ธรรมชาติจากการกระทำของบุคคลในภาคเอกชน ภาครัฐ และชุมชน จากการศึกษาพบว่า อาชญากรรมสิ่งแวดล้อมจะมีลักษณะพิเศษซึ่งแตกต่างจากอาชญากรรมทั่วไป โดยผู้เขียนเห็นว่า ผลกระทบที่เกิดความเสียหายในสิ่งแวดล้อม อาทิ ปัญหามลพิษทางอากาศ ทางนํ้า หรือในชุมชนที่พัก อาศัยนั้นย่อมไม่ปรากฏตัวผู้กระทำผิดที่ชัดเจน ซึ่งไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นจากบุคคลกลุ่มใดดังที่กล่าว มาข้างต้น อีกทั้งความเสียหายนั้นมิได้เกิดขึ้นทันทีทันใด และความเสียหายมิได้เกิดผลกระทบต่อคนใด คนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นผลกระทบต่อส่วนรวม นอกจากนี้ ยังอาจมีปัญหาในการฟ้องคดีเกี่ยวกับ ความเสียหายอันเกิดจากอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม ที่ผู้เสียหายที่เป็นผู้ฟ้องคดีต่อศาลจะต้องมีหน้าที่ เปน็ ฝา่ ยพิสูจนห์ รอื ภาระในการพิสูจนเ์ กีย่ วกับพยานหลกั ฐานตอ่ ศาล ใหศ้ าลเห็นวา่ ผกู้ ระทำผิดนั้นเปน็ ผู้ก่อความเสียหายที่แท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องทำได้ยากและสลับซับซ้อนมากในคดีสิ่งแวดล้อม ผู้เขียนจึงเสนอแนะว่า คดีอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เพียงแค่บทบัญญัติของกฎหมายในการ บังคับใช้เท่านั้น แต่ยังต้องมีกลไกและมาตรการอื่น ๆ มาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น อาชญากรรมสิ่งแวดล้อม เป็นปัญหาที่มิใช่เพียงหน่วยงานของรัฐ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกระทรวง ยุติธรรมที่จะต้องปรับตัวเท่านั้น เห็นควรให้สถาบันการศึกษานำไปจัดทำในรูปแบบของการวิจัยเกี่ยวกับปัญหาผลกระทบอันเกิดจากสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและชุมชน ของประเทศไทยต่อไปในอนาคต
21
4.  การโฆษณาของธุรกิจโทรคมนาคมและวิเคราะห์ผลกระทบที่มีต่อสิทธิผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม
Author : ปิยฉัตร ล้อมชวการ
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) พัฒนาการของการสื่อสารเพื่อการโฆษณาและ ประชาสัมพันธ์ธุรกิจโทรคมนาคม 2) กลยุทธ์ในการสื่อสารเพื่อการโฆษณาของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ ด้านโทรคมนาคมในประเทศไทย 3) พฤติกรรมของผู้บริโภคในการเปิดรับสื่อโฆษณาของธุรกิจ โทรคมนาคมและความเขา้ ใจตอ่ เนือ้ หาทีใ่ ชใ้ นการโฆษณาจากผปู้ ระกอบการหลกั ในธรุ กจิ โทรคมนาคม และ 4) ความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาการโฆษณาของธุรกิจโทรคมนาคมกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ การคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม และผลกระทบต่อผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม ที่ให้บริการ ใช้วิธีการวิจัยผสมผสานเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการศึกษาจาก ข้อมูลปฐมภูมิที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เอกสารที่เกี่ยวข้อง บทความ งานวิจัย ชิ้นงานโฆษณาสินค้าประเภท โทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์เคลื่อนที่ และอินเทอร์เน็ต ที่เผยแพร่ทางสื่อประเภทต่าง ๆ และการสัมภาษณ์ ผู้บริหารขององค์กรธุรกิจโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาขององค์กรนั้น ๆ ส่วนการวิจัย เชิงปริมาณเป็นการสำรวจพฤติกรรมของผู้บริโภคในการเปิดรับสื่อโฆษณาของธุรกิจโทรคมนาคม และความเข้าใจต่อเนื้อหาที่ใช้ในการโฆษณา โดยสุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอนจากทุกภาค ของประเทศไทย จำนวนทั้งสิ้น 1,600 ชุด ผลการวิจัยพบว่า 1) พัฒนาการของการสื่อสารเพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ธุรกิจ โทรคมนาคม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กลุ่มโทรศัพท์พื้นฐานไม่เน้นการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อ ซึ่งต่างจากโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ต ที่แต่ละบริษัทเน้นการโฆษณาและ ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อในประเด็นที่หลากหลาย 2) กลยุทธ์ในการสื่อสารเพื่อการโฆษณาของบริษัทที่ ดำเนินธุรกิจด้านโทรคมนาคมในประเทศไทย กลุ่มโทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์เคลื่อนที่ และอินเทอร์เน็ต เน้นกลยุทธ์ด้านราคา 3) พฤติกรรมของผู้บริโภคในการเปิดรับสื่อโฆษณาของธุรกิจโทรคมนาคม ผู้บริโภคมีความสนใจและเข้าใจเนื้อหาโฆษณาสินค้าและบริการของธุรกิจโทรคมนาคม ร้อยละ 75.88 ในประเด็นการรับรู้สิทธิและการใช้สิทธิของตนเองในฐานะผู้บริโภค ร้อยละ 66.69 4) ความสอดคล้อง ระหว่างเนื้อหาการโฆษณาของธุรกิจโทรคมนาคมกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค ในกิจการโทรคมนาคม และผลกระทบต่อผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมที่ให้บริการ พบว่า ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตเน้นการถ่ายทอดเนื้อหาโฆษณาด้วยราคาและข้อเสนอพิเศษ ต่าง ๆ ทำให้เกิดผลกระทบด้านสิทธิของผู้บริโภคในการรับรู้สาระสำคัญเกี่ยวกับการใช้บริการได้
54
5.  ข้อสังเกตตามกฎหมายควบคุมอาคาร
Author : สอาด หอมมณี
Abstract
กฎหมายควบคุมอาคาร เป็นกฎหมายอาญาประเภทความผิดที่กฎหมายห้ามหรือบังคับ ซึ่งอาจ เปลี่ยนแปลงลักษณะ วิธีการ รายละเอียดหรือเจตนารมณ์ของข้อห้าม อำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ไปตามสภาพแวดล้อมและความเป็นไปในแต่ละยุคสมัย หรือความเหมาะสมแก่การปฏิบัติของ เจ้าพนักงาน และมีข้อสังเกตว่า อาคารที่ก่อสร้างนั้นจะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย ควบคุมอาคารฉบับนี้เป็นสำคัญ หากการก่อสร้างนั้นเป็นการขัดวัตถุประสงค์ของกฎหมายควบคุมอาคาร แม้อาคารนั้นจะมีความมั่นคงแข็งแรงก็ตาม ถือว่ามีเหตุสมควรที่จะต้องรื้อถอน และยังมีข้อห้ามหรือ ข้อบัญญัติเกี่ยวกับพื้นที่ก่อสร้างอาคารอีกมาก เช่น พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย พ.ศ. 2456 พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 พระราชบัญญัติว่าด้วยเขตปลอดภัยในราชการทหาร พ.ศ. 2478 พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2549 พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518 นอกจากนี้ยังมีกฎหมายอื่น ๆ อีก เช่น พระราชบัญญัติ สถานบริการ พ.ศ. 2509 ซึ่งอาคารหรือสถานที่ที่ขออนุญาตตั้งเป็นสถานบริการจะต้องไม่อยู่ใกล้ชิด วัด สถานที่สำหรับปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา โรงเรียน หรือสถานศึกษา โรงพยาบาล สถานพยาบาล ที่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน สโมสรเยาวชน หรือหอพักตามกฎหมายว่าด้วยหอพัก ในขนาดที่เห็นได้ว่าจะก่อ ความเดือดร้อนรำคาญ ไม่อยู่ในย่านที่ประชาชนอยู่อาศัย อันจะก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ประชาชน ผู้อยู่อาศัยใกล้เคียง ฯลฯ การก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอนอาคารต่าง ๆ นอกจากจะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และกฎหมายเกี่ยวข้องที่บัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะ ต่าง ๆ ข้างต้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายที่เกี่ยวข้องในการควบคุมอาคารนั้นได้บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติ ต่าง ๆ อันเป็นกฎหมายเฉพาะเรื่อง และกฎกระทรวงหลายฉบับไม่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมาย ฉบับเดียว จึงสมควรออกกฎหมายควบคุมอาคารในรูปแบบของประมวลกฎหมาย อันจะทำให้กฎหมาย ระเบียบ และวิธีการต่าง ๆ จัดเป็นระเบียบหมวดหมู่ จะทำให้การปฏิบัติและการบังคับเป็นไปตาม กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
31
6.  อายุความในการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
Author : สุระทิน ชัยทองคำ
Abstract
อายุความในการดำเนินคดีอาญาได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 มีอายุความ สูงสุดคือ 20 ปี ไม่ว่าจะกระทำความผิดตามกฎหมายประเภทใดก็ตาม แต่ก็มีกฎหมายบางประเภท ที่กำหนดอายุความแตกต่างจากประมวลกฎหมายอาญา ได้แก่ ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด มีอายุความ 30 ปี สำหรับฐานความผิดซึ่งต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต จากการวิจัยพบว่า การกระทำความผิดของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง ของประเทศชาติเป็นอย่างมาก และเมื่อได้กระทำความผิดแล้วมักจะหลบหนีก่อนถูกฟ้องคดี หรือ ถูกฟ้องคดีและได้หลบหนีไปในระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นศาล โดยยอมให้ริบเงินหลักประกัน ที่ได้วางไว้ต่อศาล และเมื่อเวลาผ่านไปทำให้คดีขาดอายุความ รัฐไม่สามารถนำตัวมาลงโทษได้ ส่งผลให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินคดี ในกฎหมายของต่างประเทศหรือกฎหมายระหว่างประเทศจะกำหนดให้ไม่มีอายุความ ในการฟ้องคดีสำหรับความผิดที่ร้ายแรง เพื่อป้องปรามผู้กระทำความผิดไม่ให้อาศัยช่องว่างของ กฎหมายในเรื่องอายุความในการหลบหนี
24
7.  ตัวชี้วัดคุณภาพการให้บริการของธุรกิจสายการบิน
Author : วีรวิชญ์ เลิศไทยตระกูล
Abstract
อุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศ เป็นรูปแบบการขนส่งที่มีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และได้รับความนิยมในการใช้บริการเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าหรือผู้โดยสาร สามารถลดระยะเวลาในการเดินทางและการขนส่งได้ ด้วยเหตุนี้ธุรกิจสายการบินจึงมีเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะธุรกิจสายการบินที่มุ่งเน้นการขนส่งผู้โดยสารมีการแข่งขันกันเพิ่มมากขึ้น ใช้กลยุทธ์ ทางธุรกิจเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และการพัฒนาคุณภาพการบริการถือเป็นอีกกลยุทธ์ หนึ่งที่สำคัญ บทความนี้จึงมุ่งแนะนำถึงตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดคุณภาพการบริการของธุรกิจสายการบิน เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจสายการบินใช้เป็นแนวทางในการพัฒนากลยุทธ์ของสายการบินเพื่อ ตอบสนองความต้องการผู้ใช้บริการให้มากขึ้น
11
8.  ปัญหาทางกฎหมายในการนำพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในคดีอาญา
Author : คมสัน สุขมาก
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐาน ทางวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยกับต่างประเทศ โดยศึกษาจากแนวคิด ทฤษฎี และการนำพยาน หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในคดีอาญา รวมถึงแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา และพระราชบัญญัติการให้บริการทางนิติวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2559 พบว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131/1 มิได้อนุญาตให้บุคคลอื่นนอกจากพนักงาน สอบสวนรอ้ งขอใหต้ รวจพสิ จู นบ์ คุ คล วตั ถุ หรอื เอกสารใด ๆ โดยวธิ ที างวทิ ยาศาสตร ์ ซงึ่ ทาํ ใหผ้ ตู้ อ้ งหา ไม่ได้รับโอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเท่าเทียม และไม่ได้แยกประเภทสิ่งที่ส่งตรวจว่าสามารถนำ ตัวอย่างจากส่วนใดของบุคคลไปตรวจได้โดยต้องขอความยินยอม และนำตัวอย่างจากส่วนใดของ บุคคลไปตรวจได้โดยไม่ต้องขอความยินยอม อาจส่งผลต่อการรับฟังพยานหลักฐาน นอกจากนั้น ตามพระราชบัญญัติการให้บริการทางนิติวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2559 เป็นเพียงการกำหนดหน้าที่ อย่างกว้าง ๆ มิได้กำหนดขอบเขตหรือกำหนดหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ สิทธิของผู้รับปฏิบัติ ที่จะต้องถูกบังคับตามพระราชบัญญัตินี้แต่อย่างใด ข้อเสนอแนะของการวิจัย เห็นควรกำหนดขั้นตอนให้ผู้เสียหายและผู้ต้องหาสามารถร้องขอให้ พนักงานสอบสวนตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในชั้นสอบสวนได้ และควรให้มีการ แยกประเภทของพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นประเภทที่กระทบเนื้อตัวร่างกายและไม่กระทบ เนื้อตัวร่างกาย ไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ถูกตรวจนั้น โดยบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131/1 และพระราชบัญญัติการให้บริการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ที่มีอยู่แล้วแต่ไม่ครอบคลุม ทำให้ไม่สามารถใช้ปฏิบัติงานได้อย่างแท้จริง จะทำให้การแก้ไขปัญหา ในการรวบรวมพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในชั้นสอบสวนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
37
9.  แนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้ตัดสินฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกสู่สากล
Author : ชำนาญ นิ่มนวล
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะผู้ตัดสินฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก และแนวทาง การพัฒนาสมรรถนะผู้ตัดสินฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกสู่สากล ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพผสมผสาน เชิงปริมาณ มีขั้นตอนคือ การวิจัยจากเอกสาร การสัมภาษณ์ผู้ตัดสินฟุตบอลนานาชาติในอดีต จำนวน 10 คน การเก็บข้อมูลจากผู้ตัดสินฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน จำนวน 108 คน ด้วยแบบสอบถามชนิดให้ผู้ตอบกรอกข้อมูลเอง และการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิด้านฝึกอบรมกีฬาและ ทั่วไป จำนวน 11 คน ผลการวิจัยพบว่า สมรรถนะหลักมี 5 ด้าน ได้แก่ ความพร้อมในการทำงาน จรรยาบรรณวิชาชีพ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ในงาน การทำงานเป็นทีม และการสะสมความเชี่ยวชาญในอาชีพ สมรรถนะรอง ได้แก่ การใช้สายตา การสื่อสาร มนุษยสัมพันธ์ บุคลิกภาพ ความอดทนทั้งร่างกาย-จิตใจ ความเชื่อมั่น ในตนเอง ความยืดหยุ่นทั้งร่างกาย-จิตใจ การประยุกต์ใช้กติกา การควบคุมตนเอง การใช้เทคโนโลยี การตัดสินใจ ความคิดสร้างสรรค์ในเกมส์ การมีประสาทสัมผัสที่หลักแหลม การวิเคราะห์เกมส์ การควบคุมหรือจัดการเกมส์ ทิศทางการวิ่ง-เดินในสนาม การพิจารณาความได้เปรียบ–เสียเปรียบ ตำแหน่งการยืนในสนาม และความเข้าใจในธรรมชาติของคน ส่วนแนวทางในการพัฒนาผู้ตัดสิน ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกสู่สากล มี 14 แนวทาง ได้แก่ การฝึกอบรม การสอนงาน การใช้ระบบพี่เลี้ยง การให้คำปรึกษา การมอบหมายงานเป็นทีม การหมุนเวียนตำแหน่ง การเพิ่มปริมาณงาน การพัฒนา ตนเอง การติดตามบุคคลต้นแบบ การประชุมสัมมนา การศึกษาดูงาน การเพิ่มคุณค่างาน การมอบหมาย โดยการพิเศษ และการกำหนดกิจกรรม
28
10.  แนวทางการบริหารจัดการองค์กรธุรกิจสมัยใหม่โดยใช้หลักของการให้อำนาจและการมีส่วนร่วมของสมาชิกในองค์กร
Author : ธันยนันท์ สมบูรณ์รัตนโชค
Abstract
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการองค์กรธุรกิจสมัยใหม่ โดยใช้ หลักของการให้อำนาจและการมีส่วนร่วมของสมาชิกในองค์กร จากการศึกษาและทบทวนวรรณกรรม ผู้เขียนสามารถสรุปได้ว่า การบริหารจัดการองค์กรธุรกิจสมัยใหม่โดยใช้หลักของการให้อำนาจ และการมีส่วนร่วมของสมาชิกในองค์กร องค์กรจะต้องให้อำนาจในการควบคุมและกำหนดชีวิต รวมถึงแนวทางในการทำงานของตัวเองได้ มีอิสรภาพในการตัดสินใจและการกระทำการใด ๆ ที่ เกี่ยวเนื่องกับการทำงาน สร้างการมีส่วนร่วมและความเท่าเทียมทางสังคมในองค์กร และการเคารพ ในสิทธิมนุษยชนของผู้อื่น การสร้างความรู้สึกว่างานที่ทำนั้นมีความหมายให้กับพนักงานทุกคน สร้างการทำงานเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงถึงกัน และสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน ขับเคลื่อนองค์กรด้วยปัญญาและแนวคิดเชิงบวก
14
11.  การประเมินและคัดเลือกผู้ส่งมอบวัตถุดิบโดยการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้น: กรณีศึกษาโรงงานผลิตงาน โลหะประดิษฐ์
Author : เสริมพงษ์ เนียมสกุล
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เกณฑ์การประเมินผู้ส่งมอบ และเพื่อคัดเลือกผู้ส่งมอบ ที่เหมาะสมในแต่ละกลุ่มผู้ส่งมอบตามประเภทวัตถุดิบ ผลการวิจัยพบว่า ค่านํ้าหนักความสำคัญของ เกณฑ์การประเมินผู้ส่งมอบตามลำดับคือ คุณภาพ (0.317) ความตรงต่อเวลาในการส่งมอบ (0.241) ราคาวัตถุดิบ (0.213) การให้เครดิตในการจ่ายเงิน (0.152) และสถานที่ตั้งของผู้ส่งมอบ (0.077) และผลการคัดเลือกผู้ส่งมอบที่มีค่าคะแนนความสำคัญสูงสุดแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มผู้ส่งมอบวัตถุดิบ ประเภทโลหะ ได้แก่ บริษัท SUN (0.291) กลุ่มผู้ส่งมอบวัตถุดิบประเภทสี ได้แก่ บริษัท TOA (0.412) และกลุ่มผู้ส่งมอบวัตถุดิบประเภทอุปกรณ์ไฟฟ้าและเบ็ดเตล็ด ได้แก่ บริษัท ROJ (0.520)
17
12.  การออกแบบและพัฒนาระบบการจัดการกิจกรรมทางวิชาการแบบออนไลน ์ โดยใชห้ ลักการ HUMANCOMPUTER INTERACTION
Author : นงเยาว์ สอนจะโปะ
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบการจัดการกิจกรรมทางวิชาการ แบบออนไลน์ โดยใช้หลักการ Human-Computer Interaction และ Automatic Expert Assignment เพื่อหาประสิทธิภาพของระบบ และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบ การวิจัยนี้ ได้นำระบบมาใช้กับโครงการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมไทย (MeThai) ประจำปี 2559 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคัดเลือกโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ประกอบด้วย ผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 86 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ระบบการจัดการกิจกรรมทางวิชาการแบบ ออนไลน์ แบบประเมินประสิทธิภาพของระบบ และแบบประเมินความพึงพอใจจากผู้ใช้ระบบ โดย พัฒนาระบบในรูปแบบ CMS มีฟังก์ชันการทำงานรองรับการจัดกิจกรรมทางวิชาการ ประกอบด้วย 7 ฟังก์ชัน ได้แก่ 1) Communication 2) Register 3) Payment Notification 4) Automatic Expert Assignment 5) Committee Review 6) Search Engine และ 7) Admin Control ฟังก์ชัน Automatic Expert Assignment (AEA) เป็นการจัดผลงานให้กับกรรมการพิจารณา ผู้วิจัยได้พัฒนา อัลกอริทึมโดยเลือกใช้วิธีของ Fuzzy C-Means พบว่าอัลกอริทึม AEA ที่พัฒนาขึ้นสามารถคัดแยกผล งานได้ตรงกับความเชี่ยวชาญของคณะกรรมการผลการวิจัยพบว่า ผลการประเมินประสิทธิภาพของระบบโดยผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมาก ( X = 4.40, SD = 0.34) ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบ ผู้ส่งผลงานมีความพึงพอใจอยู่ ในระดับมาก ( X = 4.13, SD = 0.48) กรรมการผู้ตรวจผลงานมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ( X = 4.51, SD = 0.43) และผู้ดูแลระบบมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( X = 3.88, SD = 0.74)
25
13.  การพัฒนาอาณาจักรดิจิทัลแห่งการเรียนรู้แบบเปิดสำหรับสนับสนุนการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21
Author : ณพัชร์วดี แสงบุญนำ หงษ์ทอง
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาระบบอาณาจักรดิจิทัลแห่งการเรียนรู้แบบเปิด สำหรับสนับสนุนการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 2) เพื่อศึกษาคุณภาพของระบบอาณาจักรดิจิทัล แห่งการเรียนรู้แบบเปิดสำหรับสนับสนุนการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 โดยผู้เชี่ยวชาญ และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อระบบอาณาจักรดิจิทัลแห่งการเรียนรู้แบบเปิดสำหรับ สนับสนุนการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ และคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี รวม 97 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (cluster random sampling) ดำเนินการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และระบบอาณาจักรดิจิทัลแห่งการเรียนรู้แบบเปิดสำหรับสนับสนุน การเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถามและการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่า 1) ระบบอาณาจักรดิจิทัลแห่งการเรียนรู้แบบเปิดสำหรับสนับสนุน การเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 มีการพัฒนาและดำเนินการอย่างมีคุณภาพตามหลักการและ กระบวนการการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน ซึ่งเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้และสามารถ นำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายกิจกรรม ทั้งนี้สื่อดังกล่าวสามารถนำไปใช้และแก้ปัญหาทางการเรียน การสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิภาพตามมาตรฐาน ISO 9241-11 2) ผลการวิเคราะห์ ความพึงพอใจของผู้เรียนมีความเห็นต่อภาพรวมต่อระบบได้ค่าเฉลี่ยรวมที่ระดับมาก ( X = 4.11, SD = 0.59) ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าระบบอาณาจักรดิจิทัลแห่งการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพและมีความ เหมาะสมกับการเรียนรู้
759
14.  การพัฒนาระบบจำลองพื้นที่การทดสอบโค้ด เรื่องการสร้างเว็บไซต์ด้วย HTML5 ร่วมกับ CSS3
Author : ชลิดา ศรีสร้อย
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาระบบจำลองพื้นที่การทดสอบโค้ด เรื่องการสร้างเว็บไซต์ ด้วย HTML5 ร่วมกับ CSS3 และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการใช้ระบบจำลอง พื้นที่การทดสอบโค้ด เรื่องการสร้างเว็บไซต์ด้วย HTML5 ร่วมกับ CSS3 การวิจัยดำเนินการ ตามวิธีการเชิงระบบ (system approach) ระบบที่พัฒนาขึ้นผู้ใช้สามารถใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต รองรับการใช้งานผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต โดยสามารถแสดงข้อมูล ได้ทุกระบบปฏิบัติการ เช่น Windows, IOS และ Android ภาษาที่ใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ ได้แก่ CSS3, HTML5, JQuery, JavaScript, Bootstrap, PHP และใช้ MySQL เป็นระบบจัดการฐาน ข้อมูล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จำนวน 40 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่าง ตามวัตถุประสงค์ (proposed sampling) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบียนมาตรฐาน พบว่าหลังจากผู้เรียนใช้ระบบจำลองพื้นที่การทดสอบโค้ด เรื่องการสร้างเว็บไซต์ด้วย HTML5 ร่วมกับ CSS3 มีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับดี สรุปได้ว่า ระบบจำลองพื้นที่การทดสอบโค้ด เรื่องการสร้างเว็บไซต์ด้วย HTML5 ร่วมกับ CSS3 ที่พัฒนามีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมกับ การเรียนรู้
5
15.  การพัฒนาสื่อแบบมีปฏิสัมพันธ์เพื่อการเรียนรู้เรื่องประชาคมอาเซียน
Author : ศรทัศน์ อินทรบุตร
Abstract
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาสื่อแบบมีปฏิสัมพันธ์เพื่อการเรียนรู้เรื่องอาเซียน 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานสื่อแบบมีปฏิสัมพันธ์ ดำเนินการตามวิธีการเชิงระบบ (system approach) ผู้ใช้สามารถใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต รองรับการใช้งานผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต โดยไม่ยึดติดกับขนาดของหน้าจอแสดงผล และความแตกต่างของระบบ ปฏิบัติการ โดยสามารถใช้งานได้ทั้ง Windows, IOS และ Android ภาษาที่ใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ ประกอบด้วย Adobe Photoshop CS6, Adobe Illustrator CS6, CSS, HTML5, JQuery, JavaScript, Bootstrap, PHP และใช้ MySQL เป็นระบบจัดการฐานข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาคณะเทคโนโลยี สารสนเทศ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จำนวน 50 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างตามวัตถุประสงค์ (proposed sampling) วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่าผู้ใช้ระบบมีความพึงพอใจสื่อเพื่อการเรียนรู้ เรื่องประชาคมอาเซียน โดยสอดแทรกการเล่นเกมในการจดจำชุดประจำชาติและคำทักทาย ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับดี สรุปได้ว่า สื่อเพื่อการเรียนรู้เรื่องอาเซียน มีประสิทธิภาพและ มีความเหมาะสมกับการเรียนรู้
27
16.  ปัจจัยด้านการบริหารงานขายที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานขายของบริษัทในพื้นที่ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก: กรณีศึกษา: ซุปเปอร์คลัสเตอร์ของจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา
Author : สุปราณี วรรณรุณ
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาตัวแปรที่เป็นปัจจัยด้านการบริหารงานขายที่มีอิทธิพลต่อ ผลการดำเนินงานขายของบริษัทในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกใน 3 กลุ่มซุปเปอร์ คลัสเตอร์ของจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างพนักงานขายของแต่ละองค์กรแบบเฉพาะเจาะจง (purposive selection) จำนวน 415 คน จากองค์กรภาคอุตสาหกรรมใน 3 กลุ่มที่เป็นซุปเปอร์ คลัสเตอร์ของจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา มีการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และค่าไค-สแควร์สำหรับการตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างโมเดลสมการ โครงสร้างกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ผลวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานขายของบริษัท ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกใน 3 กลุ่มซุปเปอร์คลัสเตอร์ของจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ในด้านความสัมพันธ์ ได้แก่ ปัจจัยด้านงานขาย ด้านการบริหารจัดการ ด้านกลยุทธ์ ด้านทัศนคติในงาน และมีตัวแปรที่เป็นผลลัพธ์ที่ได้รับความสำเร็จ ได้แก่ ผลการบริหารด้านงานขาย โดยรวม ซึ่งจะประกอบไปด้วยด้านความสัมพันธ์ระหว่างส่วนงานขายและการตลาด รูปแบบและ ระดับของพนักงานขาย ความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ ความเต็มใจในการให้ความร่วมมือ ปฏิสัมพันธ์ ทางสังคม และคุณภาพของการสื่อสาร สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปัจจัยเชิงสาเหตุในการพัฒนา ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านงานขายขององค์กรภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยตัวแบบสุดท้ายหลังปรับโมเดล มีค่าสถิติ ดังนี้ ค่า p-value = 0.436, Chi-Square/ Degree of Freedom (CMIN/DF) = 1.018, GFI = 0.981, NFI = 0.944, RFI = 0.870, IFI = 0.999, TLI = 0.997, CFI = 0.999, AGFI = 0.952, RMSEA = 0.007, RMR = 0.016
6
17.  การรับรู้และพฤติกรรมความปลอดภัยในการเดินทางของผู้โดยสารเรือคลองแสนแสบ
Author : ศรัณย์ ดั่นสถิตย์
Abstract
วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อประเมินระดับการรับรู้ความปลอดภัยและพฤติกรรมในการ เดินทางของผู้โดยสารเรือคลองแสนแสบ ศึกษาเปรียบเทียบการรับรู้และพฤติกรรมความปลอดภัย จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการรับรู้และพฤติกรรมความปลอดภัย ในการเดินทาง พบวา่ ผโู้ ดยสารมีการรับรคู้ วามปลอดภัยในระดับมากที่สุด แตพ่ ฤติกรรมความปลอดภัย ยังไม่ได้ปฏิบัติเป็นประจำ นอกจากนั้น การรับรู้และพฤติกรรมความปลอดภัยในภาพรวมมีระดับ ความสัมพันธ์น้อย ซึ่งมีสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ และความเร่งรีบในการเดินทางเป็นอุปสรรค ตอ่ การรับรขู้ องผโู้ ดยสาร และปจั จยั ดา้ นสถานการณซ์ ึ่งสง่ ผลทางลบใหผ้ โู้ ดยสารไมป่ ฏิบัติตามแนวทาง ความปลอดภัย ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรปรับปรุงเรือโดยสาร ท่าเรือ เพิ่มความถี่ของ เที่ยวเรือ รวมถึงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัย ให้แก่ผู้โดยสาร
9
18.  จักรกลการเรียนรู้สำหรับระบบคลังข้อสอบอัจฉริยะเพื่อส่งเสริมสมรรถนะวิชาชีพนักพัฒนาระบบ
Author : เสถียร จันทร์ปลา
Abstract
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์องค์ประกอบระบบคลังข้อสอบ และนำเสนอ เฟรมเวิร์คจักรกลการเรียนรู้สำหรับระบบคลังข้อสอบอัจฉริยะเพื่อส่งเสริมสมรรถนะวิชาชีพ นักพัฒนาระบบ เป็นการนำจักรกลการเรียนรู้มาใช้เพื่อให้คอมพิวเตอร์จำลองการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยใช้อัลกอริทึมการเรียนรู้ของจักรกลการเรียนรู้มาใช้กับระบบคลังข้อสอบ ซึ่งเป็นชุดข้อสอบที่ สร้างขึ้นมาด้วยมาตรฐานเดียวกันโดยใช้ข้อมูลทางสถิติจากการทำแบบทดสอบของผู้สอบ เพื่อใช้เป็น เครื่องมือในการประเมินสมรรถนะวิชาชีพนักพัฒนาระบบ การสังเคราะห์องค์ประกอบของระบบ คลังขอ้ สอบใชต้ ารางสังเคราะหจ์ ากงานวิจัยที่อยใู่ นป  2555 ถึง 2560 จำนวน 13 งานวิจัย พบวา่ ระบบ คลังข้อสอบ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ระบบจัดการผู้ใช้งาน (user management) ระบบจัดการข้อสอบ (question management) ระบบจัดการการสอบ (examination management) ระบบประเมินผลการสอบ (evaluation management) และระบบจัดการคะแนน (scoring management) เฟรมเวิร์คของระบบคลังข้อสอบอัจฉริยะโดยใช้จักรกลการเรียนรู้ แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ผู้ที่ เกี่ยวข้องกับระบบคลังข้อสอบอัจฉริยะ ได้แก่ อาจารย์ (teachers) นักศึกษา (students) ผู้ดูแล ระบบ (administrators) และเฟรมเวิร์คของระบบคลังข้อสอบอัจฉริยะ ระบบคลังข้อสอบทำให้ อัจฉริยะโดยการใช้จักรกลการเรียนรู้มาใช้กับแต่ละโมดูล ดังนี้ ระบบการจัดการผู้ใช้งาน ไม่มีการใช้จักรกลการเรียนรู้ ระบบการจัดการข้อสอบ ใช้จักรกลการเรียนรู้แบบการเรียนรู้แบบมีผู้สอนเพื่อจัดกลุ่ม ข้อสอบตามสมรรถนะ ระบบการจัดการการสอบ ใช้จักรกลการเรียนรู้แบบการเรียนรู้แบบมีผู้สอน เพื่อเลือกข้อสอบขึ้นมาสอบตามสมรรถนะ ระบบการจัดการการประเมินผล ใช้จักรกลการเรียนรู้ แบบการเรียนรู้แบบมีผู้สอนเพื่อการพยากรณ์ผลการสอบและให้คำแนะนำ และระบบการจัดการ คะแนนสอบ ไม่มีการใช้จักรกลการเรียนรู้
25
19.  การสื่อสารย้อนกลับของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ต่อกรณีการขายเบียร์สดในร้านสะดวกซื้อ
Author : ฟารีดา เจะเอาะ
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและวิเคราะห์เนื้อหาการมีส่วนร่วมในการสื่อสาร ย้อนกลับของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ต่อกรณีการขายเบียร์สดในร้านสะดวกซื้อ ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน วิธี เก็บรวบรวมข้อมูลการมีส่วนร่วมของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ 3 แหล่ง ได้แก่ เพจเฟซบุ๊กดราม่า แอดดิก เว็บไซต์ยูทูป และแอปพลิเคชันไลน์ทูเดย์ ใช้ศาสตร์แห่งการสื่อสารเป็นกรอบในการวิเคราะห์ เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ผู้ใช้สื่อส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการขายเบียร์สดในร้านสะดวกซื้อ มองว่า ประเทศไทยมีกฎหมายอ่อนแอ ผู้บริหารยังขาดความรับผิดชอบ รัฐสนับสนุนธุรกิจนํ้าเมาที่เอื้อต่อ นายทุนใหญ่ โดยบุคคลที่มีการกล่าวถึงมากที่สุดคือ กลุ่มนายทุน การแสดงความเห็นเน้นการให้ข้อมูล เกี่ยวกับพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รูปแบบของเนื้อหาส่วนใหญ่มีลักษณะเชิง เหน็บแนมประชดประชันการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ความหละหลวมของกฎหมายและสภาพ สังคม กลยุทธ์ทางการตลาดที่มีการแสดงความเห็นมากที่สุดคือ สถานที่จัดจำหน่าย ความสะดวกสบาย และเวลาขาย มองว่าปรากฏการณ์นี้เป็นการสร้างกระแสข่าวโดยใช้พื้นที่สื่อเพื่อบอกเล่าประสบการณ์ การซื้อขายเบียร์สด และการขายเบียร์สดในร้านสะดวกซื้อสามารถตอบโจทย์ความสะดวกสบายให้กับ ผู้ดื่มได้ บริบทของการสื่อสารมุ่งเน้นความรับผิดชอบทางสังคม ทั้งในส่วนผู้บริโภค ผู้จำหน่ายสินค้า และรัฐบาล และผลสะท้อนของปัญหาที่พบมากที่สุดคือ ปัญหาการเมืองและกฎหมาย
13
20.  ควบคุมคุณภาพการศึกษาไทยด้วยแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ครบวงจร
Author : ศิริกัญญา เนตรธานนท์
Abstract
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาค่อนข้างตํ่าและเป็นปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้ เมื่อมีการทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ที่เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่นำมาประเมินคุณภาพ ทำให้โรงเรียนหลายแห่งที่มีความพร้อมจัดเตรียมสอบให้นักเรียนก่อนสอบเพื่อให้ผ่านการประเมิน แต่ในทางตรงกันข้าม โรงเรียนที่ขาดแคลนทรัพยากรและบุคลากรจะไม่ได้รับโอกาสดังกล่าว ทำให้เกิด ความเหลื่อมลํ้าทางการศึกษา และไม่สามารถวัดได้ว่านักเรียนที่ไม่ได้รับการเตรียมสอบจากโรงเรียน และทำคะแนน O-NET ได้น้อยจะไม่มีความรู้ หากประเทศไทยมีแหล่งการเรียนรู้ออนไลน์ครบวงจร ที่รวบรวมความรู้และทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน ผู้สอน และผู้ที่สนใจได้เข้ามาใช้ประโยชน์ เรียนรู้ด้วยตนเองได้ทุกที่ทุกเวลาเพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต นอกจากจะแก้ปัญหาความเหลื่อมลํ้า ทางการศึกษาแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือ Self-directed Learning ซึ่งเป็น ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (21st century) อีกด้วย
35
21.  FIN TECH ความท้าทายในโลกการเงินศตวรรษที่ 21
Author : คุณากร ไวยวุฒิ
Abstract
Fin Tech คือการรวมกันของระบบการเงิน (financial) และเทคโนโลยี (technology) ที่นำไปใช้ในด้านการให้บริการทางการเงินที่กำลังมีการพัฒนาในศตวรรษที่ 21 Fin Tech เป็นกลุ่ม ธุรกิจที่นำเสนอบริการในช่องทางใหม่ ๆ เพิ่มจากหลักการที่เคยใช้ได้ดีในการสร้างสินค้าแบบเดิม ๆ ซึ่งอาจไม่เพียงพออีกต่อไป Fin Tech คือเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ในการให้บริการทางการเงินหรือใช้ เพื่อช่วยองค์กรในการจัดการด้านการเงินในระบบการดำเนินงาน ซึ่งรวมถึงธุรกิจที่กำลังเริ่มต้น (startup) ด้วย องค์กรด้านเทคโนโลยีใหม่หรือผู้ให้บริการเดิมใช้เทคโนโลยี Fin Tech เพื่อเสนอบริการ ทางการเงินแบบใหม่นี้ด้วยต้นทุนที่ตํ่ากว่าและนำเสนอข้อแก้ไขจุดบกพร่องต่าง ๆ ที่ผ่านมา โดยใช้ เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
32
22.  แนวทางการบริหารจัดการโรงเรียนประชารัฐด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
Author : สมศักดิ์ สุวรรณสุขกุล
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลและเส้นทางของข้อมูลที่จะถูกจัดเก็บ ประมวลผล และติดตามผลโดยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จะเกิดประโยชน์ต่อโรงเรียนประชารัฐ เพื่อความถูกต้อง รวดเร็ว และเพื่อศึกษาระบบการบริหารจัดการข้อมูลของผู้บริหารและผู้ที่มีส่วน เกี่ยวข้องที่ช่วยเหลือโรงเรียนประชารัฐ โดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นการวิจัย เชิงคุณภาพและเชิงปฏิบัติการ ใช้การสัมภาษณ์และการปฏิบัติจริง มีประชากรคือโรงเรียนประชารัฐ จำนวน 306 โรงเรียน และมีบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) สนับสนุนตามนโยบายขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ประชารัฐของรัฐบาล โดยมอบหมายให้วิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ร่วมกับมหาวิทยาลัยเครือข่าย 25 มหาวิทยาลัย ช่วยดูแลโรงเรียนประชารัฐ กลุ่มตัวอย่างเลือกเฉพาะ เจาะจงในภาคตะวันออก ด้วยเหตุผลที่ภาคตะวันออกดำเนินการก่อนภาคอื่น 2 เดือน ผลการวิจัย พบว่ามีข้อมูลและเส้นทางข้อมูลที่นำไปเขียนโปรแกรมตามลำดับจากเริ่มต้นไปสุดท้าย ดังนี้ ข้อมูล พื้นฐานของโรงเรียนประชารัฐ ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ (วัตถุประสงค์ กิจกรรม ผลลัพธ์) สถานะ โครงการ สถานะเงินสนับสนุน ภาพกิจกรรม/ผลลัพธ์ ข้อมูลการลงพื้นที่ และข้อมูลสถานะผลสำเร็จ รายเดือน ส่วนการติดตามข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลการทำกิจกรรมตามโครงการของโรงเรียน การลงพื้นที่ สคูลพาร์ทเนอร์ ภาพรวมของโครงการ ความก้าวหน้าโครงการ การใช้เงินสนับสนุน และผลลัพธ์ (outcome) ของโครงการ สามารถบริหารจัดการและติดตามงานหลัก ๆ ได้แก่ การติดตามปัจจัย การนำเข้าของโครงการคือ โครงสร้างบุคลากร การกำหนดวัตถุประสงค์และกิจกรรมของโครงการส่วนการติดตามกระบวนการจัดการ ได้แก่ สามารถติดตามกิจกรรม ขั้นตอน กระบวนการต่าง ๆ ของ โครงการโรงเรียนประชารัฐได้ทุกวันเสมือนได้ไปเยี่ยมชมด้วยตนเองของสคูลพาร์ทเนอร์ สามารถ ติดตามและประเมินผลโรงเรียนประชารัฐโดยใช้ระบบบริหารจัดการโรงเรียนประชารัฐได้ร้อยละ 87.00
22
23.  รูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน: กรณีศึกษาโรงเรียนปทุมคงคา
Author : นิพา ตรีเสถียรไพศาล
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและประเมินรูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน: กรณีศึกษาโรงเรียนปทุมคงคา โดยใช้เทคนิค EDFR จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 20 คน และตรวจสอบรูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้ด้วยการสนทนากลุ่มจากผู้เชี่ยวชาญและปฏิบัติงาน ในโรงเรียนปทุมคงคา จำนวน 8 คน สถิติในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่ามัธยฐาน และค่าพิสัย ระหว่างควอไทล์ พบว่ารูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน: กรณีศึกษา โรงเรียนปทุมคงคา ประกอบด้วยกระบวนการ 8 ด้าน 68 องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านการวิเคราะห์ สภาพความต้องการการนิเทศและการสร้างศรัทธา ด้านการสร้างความตระหนัก ด้านการพัฒนาทักษะ การทำงานกลุ่ม ด้านการเสริมสร้างประสบการณ์ทางวิชาชีพและการสาธิตรูปแบบการสอน ด้าน การพัฒนาหลักสูตร ด้านการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน ด้านการร่วมคิดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ ด้านการติดตามประเมินผลตลอดกระบวนการ แต่ละองค์ประกอบมีค่ามัธยฐานและค่าพิสัยระหว่าง ควอไทล์มากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ผลการตรวจสอบรูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน: กรณีศึกษาโรงเรียนปทุมคงคา มีความเหมาะสมสามารถนำไปปฏิบัติได้ และมีองค์ประกอบ เหมือนกับองค์ประกอบที่สร้างขึ้นตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
7
24.  การพัฒนาหลักสูตรรายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน หน่วยการเรียนรู้สารชีวโมเลกุล โดยประยุกต์ใช้ การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในโรงเรียนสังกัด กรุงเทพมหานคร
Author : อัครเดช จำนงค์ธรรม
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลการใช้หลักสูตรรายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน หน่วยการเรียนรู้สารชีวโมเลกุล โดยประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร มีขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ขั้นที่ 2 การสร้างหลักสูตร ขั้นที่ 3 การทดลองใช้หลักสูตร และขั้นที่ 4 การประเมินผลและปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนาหลวง สำนักงานเขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 42 คน โดยการ สุ่มแบบกลุ่ม (cluster random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินความสามารถในการสร้างสรรค์ชิ้นงาน ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า ได้หลักสูตรรายวิชาวิทยาศาสตร์ พื้นฐาน หน่วยการเรียนรู้สารชีวโมเลกุล โดยประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร มี 8 องค์ประกอบ ได้แก่ สภาพปัญหาและความจำเป็น หลักการ จุดมุ่งหมาย โครงสร้างเนื้อหาและเวลาเรียน ตัวชี้วัด กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล ผลการ ประเมินคุณภาพหลักสูตรโดยผู้เชี่ยวชาญพบว่า ทุกองค์ประกอบมีความเหมาะสม และผลการทดลอง ใช้หลักสูตร ค่าเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ค่าเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการจัดการ เรียนรู้สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการสร้างสรรค์ ชิ้นงานตามแนวคิดสะเต็มศึกษาของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อรายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานหน่วยการเรียนรู้ สารชีวโมเลกุล โดยประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาอยู่ในระดับมาก
27
25.  ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัย ราชภัฏในประเทศไทย
Author : อลงกรณ์ สถาปัตยานนท์
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย และเพื่อ เป็นข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัย ราชภัฏในประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างจากมหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่ม รัตนโกสินทร์ จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบปลายปิดและปลายเปิด ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะมี ประสิทธิภาพ มีคุณภาพในการให้บริการและการบริหารได้ ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้ 1) ความชัดเจนของ วัตถุประสงค์และเป้าหมายของนโยบายการบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) การให้ความสำคัญ ของการใช้งบประมาณในหน่วยงาน 3) ความสนับสนุนของผู้นำในหน่วยงาน/องค์กร 4) ความสนับสนุน จากภาครัฐ 5) การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์กรใช้เทคโนโลยี วัสดุอุปกรณ์ และตัวเงิน ในการพัฒนา ทรัพยากรบุคคลในองค์กร 6) ปัจจัยประสิทธิผลของการสื่อสาร 7) ความสนับสนุนจากภาคเอกชน และ 8) การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์กรใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้มีโอกาสก้าวหน้าตามลำดับ ข้อเสนอแนะในการวิจัยคือ ผู้นำ/ผู้บริหารมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยจะต้องมีแผนปฏิบัติการประจำปีที่ชัดเจน ในการทำแผนแม่บททั้งระยะสั้นและระยะยาว ในแต่ละปีต้องมีแผนงบประมาณรายปีที่ชัดเจน จากผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า งบประมาณมีผลต่อผลสัมฤทธิ์ จึงต้องมีการจัดทำแผนงบประมาณให้พ้องกับนโยบาย และต้องมีสัดส่วน 1:0.45 และ ผู้บริหารควรสนับสนุน ให้นโยบายการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสรรหาอธิการบดี มหาวิทยาลัยควรให้แสดงวิสัยทัศน์ในการกำหนดนโยบายการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย
12
26.  การจัดการบริหารคุณภาพโดยรวมมีผลต่อประสิทธิภาพโลจิสติกส์ในโรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวอบแห้ง ในจังหวัดราชบุรี
Author : พุฒิพงษ์ พรรณพิกุล
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการบริหารคุณภาพโดยรวมในโรงงานผลิตเส้น ก๋วยเตี๋ยวอบแห้ง ในจังหวัดราชบุรี ระดับประสิทธิภาพโลจิสติกส์ในโรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวอบแห้ง ในจังหวัดราชบุรี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และระดับอิทธิพลการบริหารคุณภาพโดยรวมที่มีต่อ ประสิทธิภาพโลจิสติกส์ในโรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวอบแห้ง ในจังหวัดราชบุรี กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงาน ในโรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวอบแห้ง จังหวัดราชบุรี จำนวน 330 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็น แบบสอบถาม สถิติที่ใช้คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวิเคราะห์ ความแปรปรวน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคุณ ผลการวิจัยพบว่า ระดับการบริหารคุณภาพโดยรวมในโรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวอบแห้งอยู่ ในระดับมาก ( X = 4.12, SD = 0.43) ระดับประสิทธิภาพโลจิสติกส์ในโรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยว อบแห้งแตกต่างกันตามปัจจัยส่วนบุคคลด้านประสบการณ์การทำงาน และการบริหารคุณภาพ โดยรวมในโรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวอบแห้งที่มีต่อประสิทธิภาพโลจิสติกส์ในโรงงาน ได้แก่ ด้านการ เสริมสร้างอำนาจ ด้านความมุ่งมั่นในการทำงาน ด้านการมีส่วนร่วมในการทำงาน ด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และด้านการมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน โดยด้านการเสริมสร้างอำนาจมีความสำคัญมากที่สุด และด้านความมุ่งมั่นในการทำงาน ด้านการมีส่วนรวมในการทำงาน ด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง มีความสำคัญรองลงมาตามลำดับ
10
27.  ปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547
Author : ศิริชัย ศรีวิไล
Abstract
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้พระราชบัญญัติ โรงแรม พ.ศ. 2547 เพื่อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เข้าพักโรงแรมต่อไป โดยศึกษากฎหมายของต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นแนวทาง เนื่องจากทั้งสอง ประเทศมีโรงแรมที่ได้มาตรฐานหลายแห่ง และใช้กฎหมายควบคุมที่มีประสิทธิภาพ เพื่อหาแนวทาง แก้ไขปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวของไทยให้สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้อง ตามหลักสากล ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาเกี่ยวกับการปล่อยนํ้าเสียของโรงแรม พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 ไม่ได้มีหลักเกณฑ์ในการควบคุมระบบและมาตรฐานภายในโรงแรม โดยเฉพาะการ ปล่อยนํ้าเสียของโรงแรม ปัญหาการกำหนดระยะเวลาในการแจ้งการเข้าพักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะกฎหมายกำหนดให้ผู้จัดการโรงแรมนำส่งสำเนาทะเบียนผู้พักในแต่ละวันไปให้นายทะเบียนทราบ ทุกสัปดาห์ หากนำกำหนดระยะเวลาดังกล่าวมาใช้บังคับกรณีโรงแรมนั้นอยู่ห่างไกลจากในเมือง หรือห่างไกลความเจริญ การคมนาคมยังเป็นข้อจำกัด อาจทำให้เกิดปัญหา เช่น การหลีกเลี่ยง ไม่แจ้งตามกฎหมาย ปัญหาเกี่ยวกับระยะความกว้างของทางเข้าออกรถ เพราะแม้ว่าจะมีข้อกำหนด ในเรื่องความกว้างของทางเข้าออกรถไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ประกอบกับข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 แต่ในปัจจุบันยังพบปัญหาระยะความกว้างของทางเข้าออกรถยนต์ภายในโรงแรมในหลาย ๆ โรงแรมยังไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ของกฎหมายฉบับดังกล่าว ปัญหากรอบคุณสมบัติของพนักงานโรงแรม พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 ไม่ได้กำหนดกรอบคุณสมบัติของพนักงานโรงแรมไว้ ส่งผลให้บุคคลที่สมัครเป็นพนักงาน โรงแรมไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่เป็นไปตามนโยบายของแต่ละ โรงแรม ซึ่งก่อให้เกิดข้อเสียคือ โรงแรมแต่ละแห่งสามารถกำหนดเงื่อนไขหรือกรอบในการรับพนักงาน โรงแรมได้เอง ผู้วิจัยเห็นควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 คือ เพิ่มเติม เป็นมาตรา 34/1กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการสร้างระบบบำบัดนํ้าเสีย และแก้ไขเพิ่มเติมเรื่อง กำหนดระยะเวลาในการแจ้งการเข้าพักของนักท่องเที่ยวต่างชาติตามมาตรา 35 ประกอบมาตรา 36 โดยขยายกำหนดเวลาเกี่ยวกับการนำส่งสำเนาทะเบียนผู้พักในแต่ละวันไปให้นายทะเบียนทราบ ทุกสัปดาห์ เป็นให้นำส่งสำเนาทะเบียนผู้พักในแต่ละวันไปให้นายทะเบียนทราบทุกหนึ่งเดือน
12
28.  ภาพสะท้อนการประกอบสร้างแฟชั่นในนิตยสาร Cheeze
Author : ประกายกาวิล ศรีจินดา
Abstract
Cheeze เป็นนิตยสารแฟชั่นสำหรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจแฟชั่นด้านต่าง ๆ บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอภาพสะท้อนแฟชั่นในนิตยสาร Cheeze จากการเปรียบเทียบข้อมูลจาก นิตยสาร Cheeze ตั้งแต่ฉบับที่ 152 เดือนกุมภาพันธ์ 2560 จนถึงฉบับที่ 158 เดือนมกราคม 2561 รวม 7 ฉบับ โดยนำเสนอภาพสะท้อนทางการสื่อสารออกเป็น 3 มิติ คือ 1) แฟชั่นด้านการแต่งกาย 2) แฟชั่นด้านการฟังเพลง และ 3) แฟชั่นด้านศิลปะและวัฒนธรรมการสัก โดยแฟชั่นทั้งสามมิติ ที่ปรากฏในนิตยสาร Cheeze ได้สะท้อนความเป็นวัฒนธรรมย่อยที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมหลัก อย่างมาก เมื่อพิจารณาว่าแฟชั่นคือค่านิยมของกลุ่มคนในสังคมใดสังคมหนึ่ง “แฟชั่นในนิตยสาร Cheeze” ก็เป็นเสมือนพื้นที่หนึ่งในการแสดงออกถึงตัวตนของกลุ่มวัยรุ่น ถึงแม้ว่าในปัจจุบันวัฒนธรรม ย่อยในด้านต่าง ๆ จะยังไม่ได้รับการยอมรับมากนัก แต่จะถูกยอมรับมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เพราะ แฟชั่นกับศิลปะมีอิทธิพลสะท้อนถึงทัศนคติ ความคิด และรสนิยมของมนุษย์ และเป็นพื้นที่บันทึก ความทรงจำและประวัติศาสตร์ของแฟชั่นในยุคสมัยผ่านสื่อนิตยสาร Cheeze ที่จะเป็นหลักฐาน อันทรงคุณค่าและสะท้อนมรดกทางวัฒนธรรมของสังคมต่อไปในอนาคต
13
29.  ความสัมพันธ์ของพฤติกรรมการออกกำลังกายกับปัจจัยส่วนบุคคลของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา
Author : สิริไพศาล ยิ้มประเสริฐ
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการออกกำลังกาย และความสัมพันธ์ของ พฤติกรรมการออกกำลังกายกับปัจจัยส่วนบุคคลของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา จำนวน 363 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Chi-Square ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมการออก กำลังกายของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา ในภาพ รวมอยู่ในระดับพอใช้ ( X = 1.65, SD = 0.23) 2) เพศและวิธีการออกกำลังกาย ไม่มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการออกกำลังกาย และ 3) คณะ สถานที่ออกกำลังกาย และจุดประสงค์ในการออกกำลังกาย มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการออกกำลังกาย
12