|
|
|
ปีที่ 16 ฉบับที่ 4 ประจำเดือนเมษายน-เดือนมิถุนายน 2563 ISSN 1686-5715 |
อ่าน |
1. THE ROLE OF GRAMMAR TEACHING IN ESL WRITING
 Author : Chonthita Phuwarat
 Abstract
The role of grammar teaching in language learning has been a prime focus of
debate for many years. Learning a language is not a traditional ended result; therefore,
there is no ideal method in which every language learner can undoubtedly learn a
language (Ellis, 2002). The purpose of this article is to examine the role of grammar
teaching in ESL Writing and the probable practical approaches to grammar teaching.
In writing instruction for English learners, the role of grammar teaching has changed
dramatically over time. The writing exercises existed primarily for students to practice
word and sentence level grammar. A summary of second language writing pedagogy
discloses the change in attitudes towards the pedagogic effectiveness of explicit
grammar instruction in writing class. Research in second language writing has defined
the issues and offered new perspective related to the teaching of grammar in the
second language writing whether focusing on grammar in different contexts can help
students understand variation in functions and forms across diverse genres as well as
build linguistic resources for a wide range of writing needs.
Keywords: grammar teaching, second language writing.
|
7 |
2. การประกันสิทธิขั้นพื้นฐานในการพิจารณาคดีของศาล
 Author : อนันต์ เพียรวัฒนะกุลชัย
 Abstract
บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานในการพิจารณาคดีของศาล ซึ่งเป็น
สาระสำคัญของหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐ ที่จะต้องเป็นหน้าที่ของรัฐ
และรัฐบาลในการบัญญัติกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการประกันสิทธิที่เป็นทั้งกฎเกณฑ์สากลและ
เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะปฏิบัติต่อประชาชนในฐานะเป็นวัตถุอย่างหนึ่งของคำพิพากษา
ของศาลไม่ได้ แต่ประชาชนมีฐานะเป็นผู้ทรงสิทธิในกระบวนพิจารณาตามกฎหมาย โดยไม่จำกัดว่า
การพิจาณาคดีนั้นจะเป็นการพิจารณาคดีของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง ดังนั้นรัฐจะต้องทำ
ทุกวิถีทางเพื่อสร้างระบบกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว จึงจะถือว่าเป็นรัฐเสรีประชาธิปไตย
ที่มีระบบการเมืองการปกครองภายใต้หลักนิติรัฐ
คำสำคัญ: การประกัน, สิทธิขั้นพื้นฐาน, การพิจารณาคดี
|
14 |
3. การศึกษาความต้องการพัฒนาครูมืออาชีพสู่ความเป็นประเทศไทย 4.0
 Author : สุรีย์มาศ สุขกสิ
 Abstract
การวิจัยเพื่อศึกษาความต้องการพัฒนาครูมืออาชีพสู่ความเป็นประเทศไทย 4.0 มีวัตถุประสงค์
เพื่อ 1) ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2) การสร้างกลยุทธ์การพัฒนาครู
มืออาชีพสู่ความเป็นประเทศไทย 4.0 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและ
ครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1, เขต 2 และสำนักงานเขต
พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด จำนวน 354 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของ
เครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ
ได้ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.31-0.89 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.93 สถิติที่ใช้ในการวิจัย
ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่าความต้องการพัฒนาครูมืออาชีพสู่ความเป็น
ประเทศไทย 4.0 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมาก
เรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับคือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับมาก
เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าทุกข้ออยู่ในระดับมาก เรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับคือ
จัดกิจกรรมส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เสริมสร้างเจตคติที่ดีในเนื้อหาวิชาที่เรียน และกระตุ้นความ
สนใจในการเรียนให้เหมาะสมกับพัฒนาการของผู้เรียน ด้านการวิจัยในชั้นเรียน โดยรวมอยู่ในระดับ
มาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าทุกข้ออยู่ในระดับมาก เรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับ
คือ นำผลการวิจัยมาใช้ในการแก้ปัญหา พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประเมินผลพัฒนาการของ
ผู้เรียนหลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียน
ก่อนดำเนินการวิจัย และด้านการวัดและประเมินผล โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ
พบว่าทุกข้ออยู่ในระดับมาก เรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับคือ วิเคราะห์ผู้เรียนก่อนกำหนดเกณฑ์การประเมินผู้เรียน นำผลการประเมินมาปรับปรุงพัฒนาเกณฑ์การประเมิน
ให้เหมาะสมกับศักยภาพของนักเรียน และวัดผลประเมินผลผู้เรียนโดยเน้นสภาพจริง
คำสำคัญ: ครูมืออาชีพ, ประเทศไทย 4.0
|
10 |
4. การออกแบบแผนผังทางเลือกสำหรับโรงงานแปรรูปผักและผลไม้
 Author : พจมาน เตียวัฒนรัฐติกาล
 Abstract
งานวิจัยนี้เป็นการวิเคราะห์การวางแผนผังโรงงานแปรรูปผักและผลไม้ เพื่อศึกษาหาสาเหตุ
ที่ทำให้มีระยะทางการขนถ่ายวัสดุระหว่างแผนกสูง การเกิดอุบัติเหตุและความไม่ปลอดภัย รวมทั้ง
โอกาสเกิดความเสียหายด้านคุณภาพของสินค้า ซึ่งพบว่าเกิดจากการจัดวางตำแหน่งแผนกและ
การจัดสรรสภาพพื้นที่การทำงานบางแผนกไม่เหมาะสม งานวิจัยนี้จึงได้ออกแบบแผนผังโรงงานใหม่
โดยประยุกต์ใช้หลักการวางแผนผังอย่างมีระบบ (SLP) สร้างแผนภูมิความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรม
ที่พิจารณาจากความหนาแน่นการไหลของวัสดุ และข้อกำหนดของโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร
การออกแบบแผนผังใหม่ทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ แบบที่ 1 ภายใต้ข้อจำกัดเชิงปฏิบัติและวิเคราะห์
การรองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีการโยกย้ายแผนกได้เพียงเล็กน้อยเนื่องด้วยข้อจำกัดเชิงปฏิบัติ
ที่มี แบบที่ 2 ออกแบบแผนผังจากทางโรงงานมีการขยายพื้นที่ในแผนกจัดสินค้า แบบที่ 3 ออกแบบ
แผนผังภายใต้การลดข้อจำกัดเชิงปฏิบัติ สามารถปรับโครงสร้างกำแพงคอนกรีตภายในอาคารได้
หลังจากนั้นประเมินแผนผังทั้งสามแบบตามหลักการของ ดิลีบ อาร์ ชูล ผ่านค่าผลรวมของความ
ใกล้ชิดที่แสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องต่อค่าความใกล้ชิดจากแผนภูมิความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรม
และทั้งสามแบบมีค่าผลรวมของความใกล้ชิดได้ 246, 304 และ 126 ตามลำดับ ในขณะที่แผนผัง
ในปัจจุบันมีค่าผลรวมของความใกล้ชิดเท่ากับ 334 แสดงให้เห็นว่าการออกแบบแผนผังเหล่านี้มีความ
สอดคล้องกับค่าความใกล้ชิดมากกว่าแผนผังปัจจุบัน นอกจากนี้แต่ละแผนผังยังสามารถลดระยะทาง
การขนถ่ายวัสดุโดยเฉลี่ยรวมทั้งหมดต่อวันได้อีกด้วย
คำสำคัญ: ข้อจำกัดเชิงปฏิบัติ, ระยะทางการขนถ่ายวัสดุ, การวางผังโรงงานอย่างมีระบบ, ค่าผลรวม
ความใกล้ชิด, แผนภูมิความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรม
|
2 |
5. ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการสร้างการเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
 Author : รัฐชาติ ทัศนัย
 Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาแนวทางที่เหมาะสมในการสร้างการเป็นหุ้นส่วน
ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุในประเทศไทย ใช้การวิจัยแบบผสมผสาน
เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 17 คน และการสนทนากลุ่มจากผู้สูงอายุจังหวัดละ 15 คน
ขณะที่การศึกษาเชิงปริมาณเก็บข้อมูลจากผู้สูงอายุจากจังหวัดที่เป็นตัวอย่าง จำนวน 1,991 คน พบว่า
สวัสดิการที่ผู้สูงอายุต้องการจากการสร้างการเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเป็นสวัสดิการ
ทั่วไป แต่ก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับสวัสดิการการจ้างงาน การรักษาพยาบาล และที่อยู่อาศัย
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการสร้างการเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการจัด
สวัสดิการเพื่อผู้สูงอายุ พบว่าตัวแปรทั้งหมดที่นำมาศึกษานั้น สามารถอธิบายความสำเร็จในภาพรวม
ได้ร้อยละ 37.10 (R2 = 0.371) จากการวิจัยพบว่ามีเพียง 4 ปัจจัยเท่านั้นที่ส่งผลต่อความสำเร็จ
ในภาพรวม ได้แก่ การดำเนินการของภาคเอกชน การดำเนินการของภาคประชาชน การบริหารจัดการ
และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .001 นอกจากนี้การวิจัยเชิงคุณภาพได้ชี้
ให้เห็นว่าการดำเนินการภาครัฐเป็นอีกปัจจัยที่มีส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน แนวทางในการสร้างการเป็น
หุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุประกอบด้วย 5 ปัจจัยดังกล่าว
ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลัก และมีองค์ประกอบเสริมคือ มาตรการการจูงใจทางภาษี และการกระตุ้น
ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อนำมาเชื่อมโยงให้มีความสอดคล้องกันจะเป็นแนวทางในการสร้างการเป็น
หุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุในประเทศไทย
คำสำคัญ: การเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน, สวัสดิการ, ผู้สูงอายุ
|
8 |
6. การพัฒนาสื่อประสมตามหลักสูตรท้องถิ่น เรื่องการจัดการเรียนรู้การแกะสลักไม้
อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่
 Author : ศศิณิส์ภา พัชรธนโรจน์
 Abstract
การวิจัยเรื่อง การพัฒนาสื่อประสมตามหลักสูตรท้องถิ่นเรื่อง การจัดการเรียนรู้การแกะสลักไม้
อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตสื่อประสมตามหลักสูตรท้องถิ่นเรื่อง การจัดการ
เรียนรู้การแกะสลักไม้ อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ และศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้สื่อประสม
และเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การจัดการเรียนรู้การแกะสลักไม้ ซึ่งการวิจัยนี้เลือกกลุ่ม
ชุมชนบ้านถวาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้นแบบในการดำเนินการวิจัย
จากการศึกษาและพัฒนาสื่อประสมเรื่อง การจัดการเรียนรู้การแกะสลักไม้ มีลักษณะ
การนำเสนอในรูปแบบการ์ตูนเล่าเรื่องและเป็นตัวดำเนินเรื่องประกอบกับการใช้วีดิทัศน์สาธิต
ในการนำเสนอขั้นตอนและวิธีการแกะสลักไม้อย่างละเอียด ข้อมูลที่นำเสนอมีทั้งในรูปแบบภาพนิ่ง
ข้อความ และสื่อมัลติมีเดีย โดยกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยนี้ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง
กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนต้นแก้วผดุงพิทยาลัย ที่เรียนในหลักสูตร
ท้องถิ่นเรื่อง การจัดการเรียนรู้การแกะสลักไม้ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 28 คน ผลการวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อประสมดังกล่าว พบว่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจในภาพรวมของนักเรียนที่มีต่อ
สื่อประสม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.39 อยู่ในระดับพึงพอใจมาก ผลการประเมินคุณภาพสื่อประสมที่ประเมิน
โดยผู้เชี่ยวชาญ 5 คน รวมคุณภาพทั้งหมด 5 ด้าน มีค่าเฉลี่ยรวมเป็น 4.24 ซึ่งมีคุณภาพอยู่ในระดับดี
คำสำคัญ: สื่อประสม, หลักสูตรท้องถิ่น, การแกะสลักไม้
|
33 |
7. การพัฒนาแอนิเมชันจิตรกรรมฝาผนังไทย กรณีศึกษาพระอุโบสถวัดใหญ่อินทาราม
(พระอารามหลวง) จังหวัดชลบุรี
 Author : ชินวัฒน์ ประยูรรัตน์
 Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแอนิเมชันจิตรกรรมฝาผนังไทย กรณีศึกษาพระอุโบสถ
วัดใหญ่อินทาราม (พระอารามหลวง) จังหวัดชลบุรี 2) เพื่อประเมินคุณภาพของแอนิเมชันจิตรกรรม
ฝาผนังไทย โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจของแอนิเมชันที่ผลิตขึ้น
โดยนักศึกษาที่เรียนด้านแอนิเมชันหรือด้านที่เกี่ยวข้อง จำนวน 50 คน มีการเก็บรวบรวมข้อมูล
วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลก่อนทำแอนิเมชัน ขั้นตอนการผลิตแอนิเมชันแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน
ได้แก่ 1) ขั้นตอนก่อนการผลิต คือเตรียมภาพจิตรกรรมฝาผนังไทย ตัดต่อภาพและฉาก และสร้างภาพ
จิตรกรรมให้มีความสมบูรณ์ 2) ขั้นตอนการผลิต คือสร้างการเคลื่อนไหวในคอมพิวเตอร์ ปรับแต่งภาพ
และประมวลผลภาพ 3) ขั้นตอนหลังการผลิต คือตัดต่อภาพแอนิเมชัน ตัดต่อเสียง และตรวจสอบผลงาน
ผลการวิจัยพบว่า 1) ได้ผลงานแอนิเมชันที่มีการเคลื่อนไหวของตัวละครและฉากประกอบเสียงบรรยาย
และเสียงเพลงบรรเลง จำนวน 16 ภาพ รวมเวลา 6 นาที 10 วินาที 2) ผลการประเมินคุณภาพของ
แอนิเมชันโดยผู้เชี่ยวชาญ มีค่าเฉลี่ย 4.58 อยู่ในระดับดีมาก 3) ผลประเมินความพึงพอใจของนักศึกษา
จำนวน 50 คน ที่ได้รับชมแอนิเมชัน มีค่าเฉลี่ย 4.54 อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด
คำสำคัญ: แอนิเมชัน, จิตรกรรมฝาผนังไทย, วัดใหญ่อินทาราม, พระอารามหลวง, จังหวัดชลบุรี
|
4 |
8. แอนิเมชันสองมิติเรื่อง ขั้นตอนการออกแบบอินโฟกราฟิก
 Author : ทิพย์สุคนธ์ เพชรโอภาส
 Abstract
การออกแบบอินโฟกราฟิก คือการนำข้อมูลมาเสนอในรูปแบบต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ ปัจจุบัน
อินโฟกราฟิกเข้ามามีบทบาทในงานหลายด้าน เช่น ป้ายโปสเตอร์ สถิติ วิทยาการคอมพิวเตอร์
และงานวิจัย เนื่องจากสื่ออินโฟกราฟิกช่วยให้การแสดงผลข้อมูลที่ซับซ้อนสามารถเข้าใจได้ง่าย
รวดเร็ว และชัดเจน จากการศึกษาพบว่าสื่อแอนิเมชันสองมิติสามารถช่วยให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
ขั้นตอนการออกแบบอินโฟกราฟิกได้
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแอนิเมชันในรูปแบบสองมิติเรื่อง ขั้นตอนการออกแบบ
อินโฟกราฟิก โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาสาขาวิชาออกแบบสื่อสาร คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี จำนวน 50 คน พบว่าผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการประเมินคุณภาพของ
สื่อแอนิเมชันสองมิติเรื่อง ขั้นตอนการออกแบบอินโฟกราฟิก จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน มีความ
คิดเห็นดา้ นประสิทธิภาพของสือ่ แอนิเมชนั สองมิติเรื่อง ขั้น ตอนการออกแบบอินโฟกราฟกิ ในภาพรวม
ได้ค่าเฉลี่ยในระดับมาก เมื่อพิจารณาในแต่ละด้านพบว่า ลำดับที่ 1 คือ ด้านเสียง ได้ค่าเฉลี่ยในระดับ
มาก ลำดับที่ 2 คือ ด้านการนำไปใช้ประโยชน์ ได้ค่าเฉลี่ยในระดับมาก ลำดับที่ 3 คือ ด้านเนื้อหา
ได้ค่าเฉลี่ยในระดับมาก ลำดับที่ 4 คือ ด้านภาพเคลื่อนไหว ได้ค่าเฉลี่ยในระดับมาก ลำดับที่ 5 คือ
ความสวยงาม ได้ค่าเฉลี่ยในระดับมาก และลำดับสุดท้ายคือ ด้านความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบ
ได้ค่าเฉลี่ยในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังชมสื่อแอนิเมชันเพื่อประเมิน
ความรู้ความเข้าใจเรื่องขั้นตอนการออกแบบอินโฟกราฟิกโดยใช้แบบทดสอบ เมื่อทดสอบค่า t
พบว่าคะแนนหลังชมสื่อแอนิเมชันของนักศึกษาสูงกว่าก่อนชมสื่อแอนิเมชันอย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน
คำสำคัญ: การออกแบบอินโฟกราฟิก, อินโฟกราฟิก, สื่อแอนิเมชัน
|
18 |
9. ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้า OTOP ของนักท่องเที่ยวตลาดน้ำบางคล้า
อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
 Author : เจกิตาน์ ศรีสรวล
 Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้า OTOP ของ
นักท่องเที่ยวตลาดน้ำบางคล้า 2) ศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้า OTOP ของนักท่องเที่ยวตลาดน้ำบางคล้า กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวตลาดน้ำบางคล้า จำนวน 400 คน
โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล และใช้วิธีสุ่มแบบสะดวก
ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการซื้อสินค้า OTOP ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยว
ตลาดน้ำบางคล้า ส่วนใหญ่เลือกซื้อสินค้า OTOP ประเภทอาหาร รองลงมาคือ เครื่องดื่ม ส่วนใหญ่
ซื้อสินค้า OTOP เพื่อใช้เองส่วนตัว รองลงมาคือ ต้องการอุดหนุนสินค้า OTOP ส่วนใหญ่ไปซื้อสินค้า
OTOP ที่ตลาดน้ำบางคล้า ในวันเสาร์-อาทิตย์ รองลงมาคือ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ส่วนลักษณะการซื้อ
สินค้า OTOP ส่วนใหญ่ซื้อทันทีเมื่อเห็นสินค้า รองลงมาคือ ใช้เวลาตัดสินใจภายใน 1 วัน สำหรับ
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้า OTOP มากที่สุดคือ ปัจจัย
ด้านผลิตภัณฑ์ โดยพบว่านักท่องเที่ยวให้ความสำคัญปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์มากที่สุดคือ ชื่อเสียงของ
ผู้ผลิต/แหล่งผลิต ให้ความสำคัญปัจจัยด้านราคามากที่สุดคือ ราคาผลิตภัณฑ์ใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์
ชนิดเดียวกัน ให้ความสำคัญปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาดมากที่สุดคือ การบริการของพนักงาน
และให้ความสำคัญปัจจัยด้านการจัดจำหน่ายมากที่สุดคือ ความสะดวกในการหาซื้อ
คำสำคัญ: พฤติกรรมการซื้อ, สินค้า OTOP, ตลาดน้ำบางคล้า
|
8 |
10. การศึกษาเปรียบเทียบคำรื่นหูในภาษาไทยและจีนด้านโครงสร้างภาษา
 Author : ตงตง ฉิน
 Abstract
การเปรียบเทียบคำรื่นหูในภาษาไทยและภาษาจีนด้านโครงสร้างภาษา มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
เปรียบเทียบกลวิธีการสร้างคำรื่นหูด้านโครงสร้างภาษาในรูปแบบต่าง ๆ ว่ามีความเหมือนหรือ
ความต่างกันอย่างไร ในด้านใดบ้าง โดยรวบรวมจากสื่อสิ่งพิมพ์ บทความ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งใน
ภาษาไทยและภาษาจีน ตลอดจนการใช้ภาษาในสถานการณ์จริง โดยภาษาไทยสืบค้นจาก Facebook,
Twitter, Instagram รวมทั้งจากเว็บไซต์ Pantip.com ภาษาจีนสืบค้นจาก Wechat, Weibo, Douyin,
Kuaishou, Taobao และจากเว็บไซต์ Tieba.baidu.com พบว่าการสร้างคำรื่นหูด้านโครงสร้างภาษา
ของทั้งสองภาษามีทั้งความเหมือนและความต่างกัน โดยมีวิธีการสร้างคำรื่นหูทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่
ด้านการออกเสียง ด้านไวยากรณ์ ด้านคำศัพท์ และด้านวาทศาสตร์ ซึ่งมีความพิเศษแตกต่างกันไป
โดยภาษาไทยมีการสร้างคำรื่นหูโดยการผวนคำ และการตัดเสียงพยัญชนะต้น ภาษาจีนมีการดึงบุคคล
ในประวัติศาสตร์มาเปรียบเปรยดัดแปลงเป็นคำรื่นหูอย่างหลากหลาย
คำสำคัญ: คำรื่นหู, คำต้องห้าม, โครงสร้างด้านภาษา, ภาษาไทย, ภาษาจีน
|
25 |
11. ผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) ที่มีต่อพฤติกรรมการเรียนรู้และทัศนคติต่อการเรียน
สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู
 Author : สรัญญา เนตรธานนท์
 Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการเรียนรู้ก่อนและหลังการเข้าร่วม
กระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และ 2) เพื่อศึกษาทัศนคติต่อการเรียนหลังการเข้าร่วมกระบวนการ
จัดการเรียนรู้เชิงรุก กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาพลศึกษาและ
สุขศึกษา มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตชลบุรี จำนวน 90 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่าง
แบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก แบบประเมินพฤติกรรม
การเรียนรู้ และแบบวัดทัศคติต่อการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (mean)
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) และการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis)
ผลการวิจัยพบว่า ก่อนการเข้าร่วมกระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ผู้เรียนมีพฤติกรรมการ
เรียนรู้อยู่ในระดับปานกลาง ( X = 3.08) แต่หลังจากที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้
เชิงรุกแล้ว ผู้เรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้เปลี่ยนไปจากก่อนเรียนคือ มีพฤติกรรมการเรียนรู้หลังเรียน
อยู่ในระดับมากที่สุด ( X = 4.57) โดยพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีมากที่สุด ได้แก่ ผู้เรียนได้ปฏิบัติ
กิจกรรมด้วยความสามารถอย่างมีความสุข ( X = 4.88) ผู้เรียนแนะนำวิธีการทำงานและช่วยเหลือ
เพื่อนในชั้นเรียน ( X = 4.83) และผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างเพื่อนในชั้นเรียน ( X = 4.76)
ตามลำดับ ทัศนคติต่อการเรียนของผู้เรียนหลังเข้าร่วมกระบวนการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด
( X = 4.58) โดยในด้านการจัดการเรียนรู้ ผู้เรียนคิดว่ากระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสามารถ
กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียนมากที่สุด ( X = 4.79) ส่วนในด้านผู้เรียน ผู้เรียนคิดว่า
กระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกทำให้ผู้เรียนมีความสุขและอยากมาเรียนวิชานี้มากที่สุด ( X = 4.74)
คำสำคัญ: การจัดการเรียนรู้เชิงรุก, พฤติกรรมการเรียนรู้, ทัศนคติต่อการเรียน
|
25 |
12. คุณลักษณะของสื่อวีดิทัศน์และวิธีการสอนโดยการใช้สื่อวีดิทัศน์เรื่อง การเย็บแผลและผ่าฝี
ตามความต้องการของผู้เรียน ผู้สอน และผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ
 Author : ทรงฤทธิ์ ทองมีขวัญ
 Abstract
การวิจัยเชิงผสมผสานวิธีเพื่อศึกษาคุณลักษณะของสื่อวีดิทัศน์และวิธีการสอนโดยใช้
สื่อวีดิทัศน์เรื่อง การเย็บแผลและผ่าฝี ตามความต้องการของผู้เรียน ผู้สอน และผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ
ตอนที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลเป็นนักศึกษา จำนวน 22 คน อาจารย์วิทยาลัยพยาบาล
บรมราชชนนี สงขลา จำนวน 5 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ จำนวน 3 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการ
วิเคราะห์เชิงเนื้อหา ตอนที่ 2 เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล จำนวน
106 คน อาจารย์วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา จำนวน 10 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ
จำนวน 5 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย ตรวจความตรง
เชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ได้ค่า IOC ระหว่าง .67-1.00 หาค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์
แอลฟาของครอนบาค ได้เท่ากับ .71 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่า
1. คุณลักษณะของสื่อวีดิทัศน์เรื่อง การเย็บแผลและผ่าฝี ตามความต้องการของผู้เรียน
ผู้สอน และผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ มีดังนี้ 1) เนื้อหา ถูกต้อง ชัดเจน กระชับ และตรงกับเอกสารคำสอน
2) ภาพ เทคนิคดี คมชัด ชัดเจน เสมือนจริง และ 3) เสียง ชัดเจน เข้าใจง่าย ดึงดูดใจ เสมือน
สอนจริง โดยคุณลักษณะด้านภาพมีค่าคะแนนเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านเนื้อหา และด้านเสียง
2. วิธีการสอนโดยใช้สื่อวีดิทัศน์เรื่อง การเย็บแผลและผ่าฝี ที่ผู้เรียน ผู้สอน และผู้เชี่ยวชาญ
ด้านสื่อต้องการมากที่สุดคือ ใช้สื่อวีดิทัศน์ร่วมกับการสอนแบบสาธิต โดยวิธีการสอนแบบให้ดู
สื่อวีดิทัศน์แล้วสอนการสาธิตในชั่วโมงเรียนอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ สอนแบบสาธิตแล้วดูสื่อ
วีดิทัศน์ในชั่วโมงเรียน และสอนแบบสาธิตในชั่วโมงเรียนแล้วดูสื่อวีดิทัศน์นอกเวลาเรียน (ก่อนและหลัง)
จากผลการวิจัย ผู้ผลิตสื่อวีดิทัศน์ต้องคำนึงถึงคุณลักษณะที่ดีคือ มีเนื้อหาถูกต้อง ภาพและเสียง
ชัดเจน และควรนำสื่อวีดิทัศน์ไปใช้ในการเรียนการสอนร่วมกับการสอนแบบสาธิต โดยให้ดูสื่อวีดิทัศน์
ก่อนการสอนแบบสาธิตให้เสร็จสิ้นในชั่วโมงเรียน
คำสำคัญ: สื่อวีดิทัศน์, คุณลักษณะของสื่อวีดิทัศน์, วิธีการสอน, ผู้เรียน, ผู้สอน, ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ,
การเย็บแผลและการผ่าฝี
|
21 |
13. การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับแรกของส่วนประสมทางการตลาด 7Ps และคุณภาพการให้
บริการของโรงแรมระดับ 3-5 ดาว ในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี
 Author : อนุรักษ์ ทองขาว
 Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และตรวจสอบโมเดลสมการโครงสร้างองค์ประกอบ
เชิงยืนยันอันดับแรกของส่วนประสมทางการตลาด 7Ps และคุณภาพการให้บริการของโรงแรม
ระดับ 3-5 ดาว ในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เพื่อนำผลการวิเคราะห์ที่ได้มาสร้างกลยุทธ์ในการพัฒนา
โรงแรมระดับ 3-5 ดาว ในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ
ให้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้ใช้บริการโรงแรมระดับ 3-5 ดาว
ในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จำนวน 400 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือ
ที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า 0.96 การวิเคราะห์โมเดลสมการ
โครงสร้างองค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับแรกของส่วนประสมทางการตลาด 7Ps และคุณภาพ
การให้บริการของโรงแรมระดับ 3-5 ดาว ในเขตเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ดำเนินการสองขั้นตอนคือ
ขั้นตอนที่ 1 ตรวจสอบโมเดลการวัด ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบโมเดลสมการโครงสร้างการวิเคาะห์
องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับแรก ผลการวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า โรงแรมระดับ 3-5 ดาว ในเขตเมืองพัทยา
จังหวัดชลบุรี จะต้องบริหารจัดการส่วนประสมทางการตลาด 7Ps และคุณภาพการให้บริการ
โดยผสมผสานอย่างเหมาะสม สำหรับส่วนประสมทางการตลาด 7Ps ควรให้ความสำคัญเรื่องการ
ส่งเสริมการตลาดเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ กระบวนการ กายภาพและการนำเสนอ และบุคลากร ตามลำดับ ด้านคุณภาพการให้บริการ ควรให้ความสำคัญเรื่องการตอบสนองต่อความ
ต้องการของผู้ใช้บริการเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ความเป็นรูปธรรม และการสร้างความมั่นใจ
ในการบริการ ตามลำดับ
คำสำคัญ: ส่วนประสมทางการตลาด 7Ps, คุณภาพการให้บริการ, โรงแรม, เมืองพัทยา
|
5 |
14. การพัฒนาชุดการเรียนรู้ฝึกทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ โดยการจัดการเรียนการสอนเชิงรุก
สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ สถาบันอุดมศึกษาเอกชน
 Author : ยุวดี อยู่สบาย
 Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดการเรียนรู้ฝึกทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ
โดยการจัดการเรียนการสอนเชิงรุกที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู สถาบันอุดมศึกษา
เอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของ
นักศึกษาก่อนและหลังใช้ชุดการเรียนรู้ และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อชุดการเรียนรู้
กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 จำนวน 37 คน ได้มาจากการเลือก
แบบเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น
แบบทดสอบวัดความสามารถในการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อ
ชุดการเรียนรู้ วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้ E1/E2 ตามเกณฑ์ 80/80 และผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดการเรียนรู้โดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
รวมทั้งผลความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อชุดการเรียนรู้โดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยร้อยละของคะแนนทดสอบระหว่างเรียน (E1) มีค่าเท่ากับ 83.74 และ
คะแนนเฉลี่ยร้อยละของคะแนนทดสอบหลังเรียน (E2) มีค่าเท่ากับ 88.33 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด80/80 แล้วแสดงว่าชุดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนด้วยชุดการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน รวมทั้งผลความพึงพอใจ
ของนักศึกษาที่มีต่อชุดการเรียนรู้นี้ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (4.35)
คำสำคัญ: ชุดการเรียนรู้, ความสามารถทางการฟังและการพูด, การเรียนการสอนเชิงรุก, ภาษาอังกฤษ
|
4 |
15. บทบาทของการบริหารทรัพยากรบุคคลด้านการบินต่อการป้องกันอากาศยานอุบัติเหตุ
 Author : ลลิตลักษณ์ ธารีเกษ
 Abstract
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายหลักการสำคัญของการบริหารทรัพยากรบุคคลด้านการบิน
(crew resource management: CRM) รวมถึงบทบาทของการบริหารทรัพยากรบุคคลด้านการบินต่อ
การลดอากาศยานอุบัติเหตุ และเพื่อเสนอแนะแนวทางในการป้องกันและลดข้อผิดพลาดที่เกิดจาก
การปฏิบัติงานของลูกเรือ โดยจากสถิติของการเกิดอุบัติเหตุทางการบิน พบว่ามากกว่าร้อยละ 70.00
มีสาเหตุโดยตรงมาจากความผิดพลาดของมนุษย์ (human error) ดังนั้น การบริหารทรัพยากรบุคคล
ด้านการบินจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันความผิดพลาดของมนุษย์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้น้อย
ที่สุด โดยการหลีกเลี่ยงการเกิดข้อผิดพลาดด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อลดโอกาสในการเกิดอากาศยาน
อุบัติเหตุ จากการวิจัยพบว่า การบริหารทรัพยากรบุคคลด้านการบินช่วยลดความผิดพลาดจากมนุษย์
ในการปฏิบัติงาน รวมถึงการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารทรัพยากรบุคคลด้านการบินก่อให้เกิด
ผลลัพธ์ในเชิงบวก ส่งเสริมประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานร่วมกันของลูกเรือ ลดโอกาสในการเกิด
ข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติงาน และลดโอกาสในการเกิดอากาศยานอุบัติเหตุได้
คำสำคัญ: ทรัพยากรบุคคล, อากาศยาน, อุบัติเหตุ
|
27 |
16. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตรวจค้นบุคคลและสัมภาระที่ปฏิบัติงาน
ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
 Author : ภัคกัญญา พงษ์ภู่
 Abstract
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดในการปฏิบัติงาน
ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดในการปฏิบัติงาน และผลกระทบของความเครียดของ
เจ้าหน้าที่ตรวจค้นบุคคลและสัมภาระที่ปฏิบัติงาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กลุ่มตัวอย่างคือ เจ้าหน้าที่
ตรวจค้น งานตรวจค้นบุคคลและสัมภาระ จำนวน 93 คน ใช้วิธีเชิงปริมาณและคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้
ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยด้าน
ประชากรศาสตร์ มีผลกระทบต่อความเครียดในด้านร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม ไม่แตกต่างกัน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดในการปฏิบัติงานทั้ง 6 ข้อ อยู่ในระดับสูง
เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ปัจจัยภายนอกที่ไม่เกี่ยวกับงาน ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน บทบาทหน้าที่
ในองค์กร ความก้าวหน้าในอาชีพ โครงสร้างและบรรยากาศองค์กร และตัวงาน ตามลำดับ 3) ความสัมพันธ์
ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียด มีความสัมพันธ์ทางบวกทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม
แตกต่างกันไปในแต่ละหัวข้อคือ ตัวงาน บทบาทหน้าที่ในองค์กร ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน
ความก้าวหน้าในอาชีพ โครงสร้างและบรรยากาศองค์กร และปัจจัยภายนอกที่ไม่เกี่ยวกับงาน
ข้อเสนอแนะคือ การปรับปรุงและพัฒนาระบบวิธีปฏิบัติงาน ควรเริ่มจากปัจจัยภายนอกที่ไม่เกี่ยวกับงาน
ควบคู่ไปกับปัจจัยด้านตัวงาน การลดปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดไม่สามารถแก้ไขเฉพาะปัจจัยใด
ปัจจัยหนึ่งได้ ผู้บริหารจะต้องแก้ไขทุกปัจจัยอย่างเป็นระบบ เนื่องจากแต่ละปัจจัยนั้นมีความเชื่อมโยงกัน
คำสำคัญ: ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียด, เจ้าหน้าที่ตรวจค้นบุคคลและสัมภาระ, ท่าอากาศยาน
สุวรรณภูมิ
|
2 |
17. ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม:
ศึกษากรณี ผู้ได้รับสิทธิการเช่า และเช่าซื้อ
 Author : ชัยธง พรมนิยม
 Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสิทธิของบุคคลผู้ได้รับสิทธิในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
อันเกิดจากการเช่าและเช่าซื้อตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518
และระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการ
เช่าซื้อที่ดิน พ.ศ. 2548
จากการวิจัยพบว่า พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 และระเบียบ
คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการเช่าซื้อที่ดิน
พ.ศ. 2548 มาตรา 30 และมาตรา 39 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรครอบครองที่ดินเพื่อทำการ
เกษตร จะนำไปโอนขายหรือโอนทางมรดกให้แก่ทายาทที่มิใช่เกษตรกรไม่ได้ แต่ให้สิทธิแก่เกษตรกร
สามารถนำที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินให้เช่าหรือเช่าซื้อได้ เมื่อมีการเช่าหรือเช่าซื้อแล้วไม่มีสิทธิโอนให้
แก่บุคคลภายนอกและทายาทที่มิใช่เกษตรกร ดังนั้นเมื่อกฎหมายปฏิรูปที่ดินกำหนดไว้เช่นนี้จึงก่อ
ให้เกิดปัญหาแก่ผู้รับสิทธิจากการปฏิรูปที่ดิน เพราะเมื่อส่งค่างวดเช่าซื้อที่ดินงวดสุดท้ายแล้วไม่อาจ
โอนให้แก่ผู้รับสิทธิได้ จึงทำให้เกษตรกรเสียประโยชน์ที่จะได้รับกรรมสิทธิ์จากการเช่าซื้อ และไม่เป็น
ไปตามวัตถุประสงค์ของการปฏิรูปที่ดิน เพราะที่ดินที่นำมาปฏิรูปนั้นเป็นที่ดินที่สำนักงานการปฏิรูป
ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้รับงบประมาณจากรัฐมาจัดซื้อที่ดินว่างเปล่าจากเอกชนแล้วนำมาจัดสรรให้แก่
ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม จึงไม่ใช่ที่ดินที่ต้องห้ามการโอนและการโอนขาย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมย่อมได้รับประโยชน์ไปด้วย เพราะเป็นหน่วยงานควบคุมการโอนที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
นอกจากนั้น ในส่วนของทายาทผู้ได้รับสิทธิจากการปฏิรูปที่ดินจะต้องเป็นผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
เท่านั้น ย่อมขัดต่อหลักการเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคปัจจุบัน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ทำอาชีพ
เกษตรกรรมในลักษณะเป็นอาชีพเสริม มีจำนวนน้อยที่ทำอาชีพเกษตรกรรมเพียงอย่างเดียว จึงทำให้
ระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการเช่าซื้อ
ที่ดิน พ.ศ. 2548 ไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและอาชีพของประชาชนในยุคปัจจุบัน
ผู้วิจัยจึงขอเสนอแนะว่า เห็นควรให้แก้ไขพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
พ.ศ. 2518 มาตรา 30 และมาตรา 39 ประกอบระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการเช่าซื้อที่ดิน พ.ศ. 2548 ที่ออกตามอำนาจมาตรา 30 และ
มาตรา 39 ให้สามารถโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้โดยกำหนดระยะเวลาในการโอนกรรมสิทธิ์เมื่อพ้น
10 ปี นับแต่วันเช่าซื้อเสร็จ และให้แก้ไขคุณสมบัติของทายาทผู้รับมรดกจะต้องไม่มีข้อจำกัดในอาชีพ
โดยกำหนดให้เป็นทายาทโดยธรรมหรือทายาทตามพินัยกรรมก็เพียงพอต่อการรับมรดกที่ดินจากการ
ปฏิรูปที่ดินแล้ว
คำสำคัญ: ปฏิรูปที่ดิน, เกษตรกรรม
|
33 |
18. ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติ
ของแผ่นดิน
 Author : พีรวุฒิ บุญวัติ
 Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการดูแลรักษาและคุ้มครอง
ป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน พระราชบัญญัติลักษณะ
ปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 และกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครองดูแล บำรุงรักษา
ใช้และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2545
จากการวิจัยพบว่า การที่ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 ไม่ได้กำหนดความหมายของคำว่า
ที่ดินของรัฐ ก่อให้เกิดปัญหาการตีความสถานะที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภท
ที่ดินรกร้างว่างเปล่าและประเภทที่ดินสาธารณประโยชน์ถึงความเป็นเจ้าของที่ดินของรัฐ และยังทำให้
เกิดปัญหาการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการเข้าไปบริหารจัดการและการดูแลทรัพย์สินของรัฐ
เพราะการจัดการและการดูแลที่ดินของรัฐมีกฎหมายหลายฉบับเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติ
ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 หรือกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล
บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2545 และกฎหมายอื่น นอกจากนั้นยังมีราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่นเข้ามาดูแลและบริหารจัดการสาธารณสมบัติ
ของแผ่นดินกรณีที่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าด้วย จึงก่อให้เกิดปัญหาในการดูแลและจัดการที่ดินดังกล่าว
ที่ควรจะนำมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่าจะปล่อยให้เป็นที่ดินที่รกร้างว่างเปล่า
ผู้วิจัยจึงเสนอแนะว่า ควรแก้ไขประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 โดยกำหนดให้กระทรวง
มหาดไทยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินรกร้างว่างเปล่าและที่ดินสาธารณประโยชน์ ออกระเบียบกำหนด
หลักเกณฑ์และวิธีการในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินรกร้างว่างเปล่า โดยกำหนดให้ทบวง
การเมืองตามประมวลกฎหมายที่ดินที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้มี
อำนาจจัดทำทะเบียนและดำเนินการขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินรกร้างว่างเปล่า นอกจากนั้น
ให้ยกเลิกมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 แก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมี
อำนาจในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินสาธารณประโยชน์ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผน
และขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มาตรา 16 (27)
โดยตรงเพียงหน่วยงานเดียว และแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในมาตรา 8 ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
ซึ่งกำหนดให้อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจหน้าที่ในการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่มีลักษณะเป็นการ
ใช้ดุลยพินิจให้มีลักษณะเป็นการบังคับและผูกพันที่ต้องกระทำอย่างเคร่งครัด
คำสำคัญ: การดูแลรักษาและคุ้มครอง, การป้องกัน, ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
|
2 |
19. การศึกษาปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และประสบการณ์ของผู้ใช้ที่มีผลต่อ
การใช้บริการซ้ำ และการบอกต่อของผู้ใช้โมบายแบงค์กิ้ง
 Author : พิสชา เทอดตระกูล
 Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการใช้บริการซ้ำ และการบอกต่อของผู้ใช้
โมบายแบงค์กิ้ง 2) ศึกษาระดับอิทธิพลของปัจจัยด้านเทคโนโลยีธนาคารของผู้ใช้ที่มีผลต่อการ
ใช้บริการซ้ำ และการบอกต่อของผู้ใช้โมบายแบงค์กิ้ง 3) ศึกษาระดับอิทธิพลของปัจจัยด้านประสบการณ์
ของผู้ใช้ที่มีผลต่อการใช้บริการซ้ำ และการบอกต่อของผู้ใช้โมบายแบงค์กิ้ง กลุ่มตัวอย่างคือกลุ่มคนที่ใช้
บริการโมบายแบงค์กิ้ง จำนวน 400 คน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ
วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน
ด้วยการทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การเปรียบเทียบค่าความแตกต่างรายคู่
ด้วยวิธี LSD และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ใช้บริการโมบายแบงค์กิ้งมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้บริการซ้ำ
และการบอกต่อของโมบายแบงค์กิ้ง โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.53 2) ปัจจัย
ด้านเทคโนโลยีธนาคารที่มีอิทธิพลต่อการใช้บริการซ้ำและการบอกต่อ ได้แก่ รูปแบบของแอปพลิเคชัน
และด้านคุณภาพข้อมูล 3) ปัจจัยประสบการณ์ของผู้ใช้ที่มีอิทธิพลต่อการใช้บริการซ้ำ ได้แก่ ด้าน
ความสะดวกสบาย ด้านความรวดเร็ว ด้านความคุ้มค่า และด้านการรับรู้ประโยชน์ และปัจจัยที่มีอิทธิพล
ต่อการบอกต่อ ได้แก่ ด้านความสะดวกสบาย ด้านความคุ้มค่า ด้านการรับรู้ประโยชน์ และด้านความ
คุ้นเคยกับธนาคาร
คำสำคัญ: การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี, ประสบการณ์ผู้ใช้, การใช้ซ้ำ, การบอกต่อ, โมบายแบงค์กิ้ง
|
17 |
20. การปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยการลดความสูญเปล่า ในกระบวนการจัดการสินค้าคงคลัง
กรณีศึกษาธุรกิจจำหน่ายอะไหล่ยนต์ จังหวัดขอนแก่น
 Author : ชลธิชา สินธุสุวรรณ์
 Abstract
กระบวนการจัดการสินค้าคงคลังที่ขาดประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดความสูญเปล่าด้านความ
ผิดพลาดในการตรวจนับสินค้าคงคลัง มีต้นทุนสูง และสิ้นเปลืองเวลา การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์
เพื่อวัดประสิทธิภาพในกระบวนการจัดการสินค้าคงคลังตั้งแต่ด้านความผิดพลาดของข้อมูลในการ
ตรวจนับสินค้าคงคลัง ด้านต้นทุนการจัดเก็บอะไหล่ยนต์ และด้านระยะเวลาในการค้นหาอะไหล่ยนต์
และเพื่อเสนอการปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยการลดความสูญเปล่าในกระบวนการจัดการสินค้าคงคลัง
เก็บและรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 16 คน ด้วยการสังเกตแบบมีส่วนร่วม สัมภาษณ์
เชิงลึก และสนทนากลุ่ม ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้อัตราความผิดพลาดของข้อมูลในการ
ตรวจนับสินค้าคงคลัง การคำนวนหาต้นทุนจม และค่าเฉลี่ยเวลา รวมถึง Why-Why Analysis
ผลการวิจัยพบว่า เมื่อวัดประสิทธิภาพของอัตราความผิดพลาดของข้อมูลในการตรวจนับสินค้าคงคลัง
พบความสูญเปล่าถึงร้อยละ 46.23 เช่นเดียวกับต้นทุนการจัดเก็บอะไหล่ยนต์เกิดความสูญเปล่า
สูงถึง 740,815 บาท ขณะที่ระยะเวลาในการค้นหาอะไหล่ยนต์พบว่าเกิดความสูญเปล่าสูงถึง
10.9 นาทีต่อรายการ เมื่อปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยการลดความสูญเปล่าในกระบวนการจัดการสินค้าคงคลัง พบว่าสามารถลดความผิดพลาดของข้อมูลในการตรวจนับสินค้าคงคลังได้ถึงร้อยละ 13.59
เช่นเดียวกับต้นทุนการจัดเก็บอะไหล่ยนต์ที่ลดลงถึง 94,372 บาท ขณะที่ระยะเวลาในการค้นหา
อะไหล่ยนต์รวดเร็วขึ้นถึง 4.8 นาทีต่อรายการ ผู้วิจัยจึงเสนอให้ผู้ประกอบการได้ตระหนักถึง
ความสำคัญของการลดความสูญเปล่าตั้งแต่ด้านความผิดพลาดในกระบวนการจัดการสินค้าคงคลัง
ต้นทุน และระยะเวลาที่มีประสิทธิภาพ
คำสำคัญ: ประสิทธิภาพ, ความสูญเปล่า, กระบวนการจัดการสินค้าคงคลัง, ต้นทุน, ระยะเวลา,
ความผิดพลาดของข้อมูล
|
43 |
21. ผลกระทบการบอกต่อออนไลน์บนสื่อสังคมออนไลน์
 Author : ธาณุพรรณ ณ สงขลา
 Abstract
ในปัจจุบันการทำการสื่อสารการตลาดมีการแข่งขันกันสูงมากขึ้นในทุกวัน มีรูปแบบการสื่อสาร
หลายประเภททผี่ ้บู รโิ ภคสามารถเลอื กเสพได้ตามความต้องการ ทำให้เกดิ สภาวะเนอื้ หาทางการตลาด
หรือ Content ล้นตลาด หรือเรียกง่าย ๆ ว่า มีเนื้อหามากกว่าที่ผู้บริโภคต้องการจะเสพ เนื่องจาก
ปัจจุบันผู้บริโภคที่ไม่ประกอบธุรกิจก็ออกมาทำเนื้อหาทางการตลาดเป็นจำนวนมาก อีกส่วนหนึ่ง
มาจากเนื้อหาทางการตลาดที่เผยแพร่ออกมา ยังขาดความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพในการผลิต
เมื่อพูดถึงการทำเนื้อหาทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ส่วนมากจะมาในรูปแบบของการบอกต่อออนไลน์
หรือ Viral Marketing เพราะการตลาดแบบบอกต่อออนไลน์เป็นเนื้อหาทางการตลาดที่ถูกใส่ความคิด
สร้างสรรค์เข้าไปและสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภคจนอยากที่จะแบ่งปันออกไป ทั้งนี้การทำ
การตลาดแบบบอกต่อออนไลน์สามารถช่วยสร้างฐานลูกค้าและแนะนำตราสินค้าให้กับผู้บริโภคได้รู้จัก
แต่การทำการตลาดแบบบอกต่อออนไลน์ก็มีข้อควรระวัง เพราะนักการตลาดไม่สามารถควบคุมได้
ทั้งหมด อย่างไรก็ดี การเผยแพร่เนื้อหาทางการตลาดให้เกิดการบอกต่อออนไลน์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์
ต้องสร้างด้วยพื้นฐานความเข้าใจในตัวผู้บริโภคจึงจะสามารถพัฒนาการบอกต่อออนไลน์ให้เกิด
ความยั่งยืนต่อไป
คำสำคัญ: การบอกต่อออนไลน์, เนื้อหาทางการตลาด, สื่อสังคมออนไลน์
|
29 |
|
|
|